เมื่อได้นายกรัฐมนตรี สถานีต่อไปเคาะครม.สะท้อนเสถียรภาพรัฐบาล
ผลการประชุมรัฐสภาเพื่อคัดเลือกนายกรัฐมนตรี ผลกก็ออกมาแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับความไว้วางใจจากสภาสส.+สว.ให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งต่อไปหลังจากดำรงตำแหน่งจากการัฐประหารมายาวนานเกือบ 5 ปี
คะแนนสส.500+สว.250 (ผู้เข้าร่วมประชุม 747 งดออกเสียง 3 ไม่เข้าร่วมประชุม 3) โดยมีการเทให้ประยุทธ์ 500 ส่วนธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คู่แข่งจากพรรคอนาคตใหม่ได้ไป 244 คะแนน ถ้านับเฉพาะคะแนนสส. ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสียงสนับสนุนทั้งสิ้น 500 เสียง จากสว. 249 เสียง สส.251 เสียง ส่วนายธนาธรได้ 244 เสียงจากสส.ล้วนๆ
สำหรับผู้ที่งดออกเสียง มีทั้งสิ้น 3 คน ได้แก่ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา, นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา และนายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ จากพรรคภูมิใจไทย โดยในสภามีผู้มาเข้าร่วมประชุม 747 คน ขาดไป 3 คน ได้แก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุติบทบาทการเป็น สส.ชั่วคราว, นางจุมพิตา จันทรขจร พรรคอนาคตใหม่ ที่ขอลาป่วย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ลาออกจากการเป็นสส. ในช่วงเช้าก่อนการลงมติ
แน่นอนว่าเราได้นายกรัฐมนตรีคนเดิมที่ลุงตู่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากนี้ก็จะมีฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านที่ชัดเจนและที่สำคัญจะต้องมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ยังไม่ทันข้ามวันของการได้นายกก็มีแต่ข่าวการขอคืนเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอของพรรคพลังประชารัฐบ้าง การขอให้นายกเป็นคนเลือครม.ทั้งหมดเองบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข่าวความขัดแย้งของฝั่งพรรครัฐบาลทั้งสิ้น
พปชร.วันนี้กลายเป็นศูนย์รวมเสือสิงห์กระทิงเก้งกวางทางการเมืองไปแล้วก็ว่าได้ การดึงดูดการเมืิองกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมพรรคปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องแลกด้วยผลประโยชน์ มีสัญญาต่างตอบแทนในตำแหน่งต่างๆ หากได้เป็นรัฐบาล ก่อนหน้านี้พปชร.พลาดท่าเสียเหลี่ยมการเมืองตั้งแต่การเลือกประธาสภาฯ แล้วที่ปชป.ตีกินได้เก้าอี้ให้ชวน หลีกภัย เป็นแม่ทัพฝ่ายนิติบัญญัติ
นโยบายที่คนใต้รอคอย
แถมยังโดนเล่นแง่ชักเข้าชักออกร่วม ไม่ร่วมรัฐบาลจนถึงนาทีสุดท้าย แม้จะมีสว.ตุนไว้ 250 เสียง แต่หากเสียงสส.ไม่ถึงครึ่งแน่นอนว่าความสง่างามคงไม่เกิดกับรัฐบาลแน่ การอยมประเคนเก้าอี้กระทรวงสำคัญให้กับ 2 พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย คือหนทางมัดใจให้มาร่วมรัฐบาลแบบชัวร์ๆ
แต่การออกมาให้ข่าวเรื่องทวงเก้าอี้คืนที่มาจากฟากฝั่งพปชร.เป็นข่าวที่ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรซึ่งคอการเมืองรู้กันดีว่าแข็งโป๊กทั้งนั้น จำนวนเก้าอี้รมต.ที่มจำกัดอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกพรารคที่มีอย่างไม่จำกัดได้
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่จะทำให้รัฐบาลใหม่พังก่อนวัยอันควรหากไม่รีบแก้ไขให้ทันการ