จดหมายเปิดผนึกถึง 4 รมต.เลือดสงขลา (1) พัฒนาเส้นทางการค้าชายแดนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองสะเดา
จังหวัดสงขลา เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างแต่หากมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา แทบไม่มีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลมาลงในพื้นที่จังหวัดสงขลา เรียกว่าไม่มีเมกกะโปรเจกต์ที่จะมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เมืองเลย จังหวัดสงขลาเลยเสียโอกาสไปมากทั้งที่เป็นเมืองมีศักยภาพครบทุกด้าน วันนี้จึงอยากเขียนจดหมายเปิดผนึกฝากความหวังการพัฒนาสงขลาไปยังรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะรัฐมนตรีเลือดสงขลาที่มีถึง 4 คน ประกอบด้วย
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โควต้าพลังประชารัฐ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พรรคภูมิใจไทย นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นแรกที่อยากเห็นการพัฒนาสงขลาเร่งด่วนที่สุดคือ "เส้นทางการค้าชายแดนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองสะเดา" ทุกครั้งที่มีเวทีพูดคุยถึงความภาคภูมิใจของจังหวัดสงขลา นั่นคือเรามีด่านการค้าที่มีูลค่าสูงสุดของประเทศ ด่านสะเดา และยังมีเส้นทางการขนส่งทางรางระหว่างประเทศผ่านด่านปาดังเบซาร์ มูลค่าการค้าระหว่างประเทศอยู่ที่สะเดามากถึง 5แสนล้านบาท ย้ำว่า 5แสนล้านไม่ใช่ 5แสนบาท มูลค่าการค้าระหว่างประเทศเกินครึ่งอยู่ที่นี่ เราได้ยินการพูดถึงมอเตอร์เวย์หาดใหญ่-สะเดา การพูดถึงรถไฟรางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ มีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษสะเดา มีการสร้างด่านสะเดาแห่งใหม่
อันดับแรกสิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่สุดนั่นคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข4 ซึ่งควรชื่อถนนเพชรเกษม แต่ช่วงหาดใหญ่-สะเดา ชื่อถนนกาญจนวณิชย์ จากแยกคลองหวะ ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ ไปจนถึงด่านสะเดา ต.สำนักขาม อ.สะเดา ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ถนนสายนี้มีรถของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย รวมถึงสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องสัญจรผ่าน มีตั้งแต่รถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนบุคคล รถบัส และยังมีรถขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ มีรถนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวบ้านบ้านในพื้นที่ต้องสัญจรผ่านถนนสายนี้จำนวนมาก
"ท่านลองหลับตาแล้วนึกถึงสภาพถนนสายนี้ดูน่ะครับ ถนนสายที่มีมูลค่าการค้าปีละ 5แสนล้านบาท ถนนที่เต็มไปด้วยรถพ่วง รถเทรลเลอร์ รถบรรทุกไม้ยางพารา รถทัวร์ท่องเที่ยว รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ถนนที่มีจุดกลับรถ มีไฟแดงเยอะมากๆ มีทางข้ามรถไฟ 2 จุด เป็นทางข้ามแบบเฉียงเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก กลางคืนไฟส่องสว่างก็มีไม่ตลอดสายบางช่วงมีแต่เสาไม่มีไฟอีกต่างหาก มอเตอร์เวย์ หากมีการอนุมัติโครงการก็เชื่อว่าอย่างน้อย 10 ปีถึงจะเปิดให้บริการได้แต่การเดินทางมันรอไม่ได้ เป็นไปได้ไหมหากจะทำให้ถนนช่วงหาดใหญ่-สะเดา เป็นถนนปลอดภัยพิเศษ"
เริ่มด้วยการขยายถนนให้เต็มศักยภาพของพื้นที่ เพิ่มทางเท้า ทางระบายน้ำที่สมบูรณ์ตลอดสาย มีการสร้างทางยกระดับข้ามทางรถไฟและพื้นที่ชุมชน อาทิ บ้านพรุ ทุ่งลุง คลองแงะ สะเดา ปรับลดจุดกลับรถและสัญญาณไฟจราจรในบางแยกที่ไม่จำเป็น สร้างทางกลับรถแบบเกือกม้าตลอดสายและบังคับรถใหญ่ให้กลับรถได้เฉพาะทางข้ามเท่านั้น สร้างสะพานลอยสำหรับรถจักรยานยนต์และจักรยานแทนการสร้างสะพานข้ามคนเดิน กวดขันวินัยจราจรและจำกัดเวลาวิ่งสำหรับที่ไม่มีความพร้อมวิ่งบนทา่งหลวง (โดยเฉพาะรถบรรทุกไม้ยางต้องห้ามวิ่งในชั่วโมงเร่งด่วนและกลางคืน)
ว่าไปแล้วถนนสายนี้เกือบตลอดสายอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 6 ของสส.ถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พื้นเพท่านเป็นชาวระโนด บ้านปัจจุบันอยู่ที่ควนลังหาดใหญ่ แต่เขตเลือกตั้งอยู่ที่สะเดาเป็นหลัก วันนี้ท่านมีโอกาสคุมกระทรวงที่เกี่ยวกับเส้นทางโดยตรงแล้วก็หวังว่าท่านจะทำผลงานให้ชาวเขต6 ได้จดจำกันบ้าง จริงอยู่ในความเป็นรัฐมนตรีต้องดูแลทั้งประเทศแต่หากดูจำนวนรถ ดูมูลค่าการค้าชายแดนแล้วจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถนนสายนี้ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วนที่สุด ถนนที่เป็นหน้าตาของประเทศไทย เป็นประตูต้อนรับผู้มาเยือนบ้านเราท่านคิดว่าควรจะดีกว่านี้ไหมครับ
ขอบคุณภาพจาก ผุ้จัดการ
ประเด็นด้านการท่องเที่ยวสะเดา วันนี้เขตเศรษฐกิจพิเศษสะเดา ถูกมองไปในเรื่องอุตสาหกรรมและโลจิสติกเป็นหลักจนลืมมองไปว่าแท้ที่จริงแล้ว การท่องเที่ยวคือหัวใจสำคัญของพื้นที่อำเภอสะเดา โดยเฉพาะที่เมืองชายแดนอย่างด่านนอก ด่านนอกก็เหมือนหาดใหญ่ในอดีต เติบโตด้วยตัวเอง เติบโตด้วยการลงทุนของเอกชน แต่ด่านนอกโตอเร็วและดับเร็วกว่าหาดใหญ่มาก คนมาเลย์ที่ผ่านด่านสะเดาไม่ได้ลดลงแต่คนมาเลย์ไม่ได้ผ่านแล้วจอดที่สะเดา เขาจอดหาดใหญ่ สงขลา พัทลุง หรือเลยไปถึงนครศรี ภูเก็ต ไปเมืองอื่นๆ กลุ่มที่อยู่ชายแดนมาแบบวันเดียวกลับก็ไม่รู้จะไปไหนเพราะนอกจากสถาบันเทิงแล้วก็ไม่มีสิ่งดึงดูดใจอื่นๆเลย
การลงทุนของภาครัฐที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสะเดา มองข้ามเรื่องการท่องเที่ยวไปหมดเลย นักธุรกิจในพื้นที่ด่านนอกบอกว่าหากช่วงไหนมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ด่านนอกเราก็จะเห็นนักท่องเที่ยวและเมืองคึกคักขึ้นมาทันที แต่หากไม่มีก็เงียบเหงา วันนี้พื้นที่ของรัฐขนาดใหญ่เป็นการดูแลโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งส่งเสริมการลงทุนก็เป็นสิ่งที่ดีแต่จะดีกว่าหากมีพื้นที่สาธารณะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงานวันนี้ต้องใช้พื้นที่บนถนนหรือพื้นที่เอกชนเป็นหลักไม่มีพื้นที่รองรับการจัดกิจกรรมต่างๆเลย
สนามกีฬา สนามโชว์ของ สนามแข่งรถ หากมีพื้นที่เหล่านี้และมีกิจกรรมในทุกเดือนเชื่อว่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวของเมืองด่านนอกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวตามแนวชายแดนที่มาแบบวันเดียวหรือค้างแค่คืนเดียวเขาจะได้มีทางเลือกในการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ใช่แค่มาเที่ยวผับ ตีหม้อ หาหมอนวด แบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่สำคัญช่วยปรับลดความยุ่งยากในการเดินทางข้ามแดนด้วยก็จะดีมากๆ ว่าไปแล้วพื้นที่ตรงนี้เป็นเขตเลือกตั้งที่ 7 ของสส.หนุ่ย ณัฎฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีชาวหาดใหญ่อย่างพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นรมว.ท่องเที่ยวฯ น่าจะมีส่วนช่วยผลักดันเรื่องนี้ได้ไม่น้อย
ขอเปิดไว้ 2 ประเด็นที่เกี่ยวกับเมืองการค้าชายแดนก่อน มีโอกาสจะขอเขียนถึงพื้นที่อื่นๆ ของสงขลา ที่ควรได้รับการผลักดันการพัฒนาอย่างเร่งด่วนเพื่อฝากเป็นการบ้านถึงรัฐมนตรี ผูัแทน และส่วนราชการในบ้านเราต่อไปครับ
ต้อม รัตภูมิ รายงาน