๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช


วันที่ ๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวันสำคัญของชาติและกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการด้วย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรไทย พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ประชาชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานามพระองค์ "พระปิยมหาราช” อันมีความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ กับสมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี พระองค์ทรงมีพระอนุชาและพระขนิษฐา ๓ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑลฯ กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และจอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กระพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช

ทรงได้รับการศึกษาขั้นแรกจากสำนักพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุตรี โดยทรงศึกษาด้านวิชาการและโบราณราชประเพณีต่างๆ หลังจากนั้น พระบรมชนกนาถทรงจ้างครูซึ่งเป็นชาวต่างประเทศโดยตรงมาสอนภาษาอังกฤษ เนื่องจากทรงเห็นว่าต่อไปในอนาคตจะจำเป็นอย่างมาก และพระบรมชนกนาถทรงฝึกสอนวิชาการในด้านต่างๆ อาทิ วิชารัฐศาสตร์ด้วยพระองค์เองด้วย

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จสวรรคต เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ได้พร้อมกันถวายพระราชสมบัติแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และได้จัดให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ในขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา ขุนนางผู้ใหญ่จึงแต่งตั้งเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ระหว่างนั้นพระองค์ได้เสด็จประพาสต่างประเทศ เพื่อทอดพระเนตรการบริหารบ้านเมืองและวิทยาการสมัยใหม่จากประเทศแถบยุโรป เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศ จึงเป็นที่มาของพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้านของพระองค์ อาทิ ด้านการทหารและการปกครองประเทศ ทรงนำแบบอย่างทางทหารของประเทศแถบยุโรปมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย มีการจัดตั้งกรมเสนาธิการทหารบกขึ้นเป็นครั้งแรก และทรงตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบกและทหารเรือ ตลอดจนส่งพระราชโอรสไปศึกษาวิชาการทหารในทวีปยุโรป ด้านการปกครองประเทศ

ทรงให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ จากเดิมมี ๖ กระทรวง และได้เพิ่มอีก ๔ กระทรวง รวมเป็น ๑๐ กระทรวง ในส่วนภูมิภาคทรงให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นเป็นครั้งแรกและให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย ด้านเศรษฐกิจและการคลัง ทรงให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้น โดยทรงให้แยกเงินแผ่นดินและเงินส่วนพระองค์ออกจากกัน และทรงให้จัดตั้งธนาคารขึ้นเป็นครั้งแรก คือ ธนาคารสยามกัมมาจล ด้านการศึกษา ทรงให้ตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นในพระบรมมหาราชวังจัดการเรียนการสอน แล้วขยายออกไปทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพื่อให้ทั่วถึงประชาชน ทำให้การศึกษาของไทยได้รับการพัฒนา ด้านการต่างประเทศ

พระองค์ได้เห็นถึงความสำคัญของการเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ในรัชสมัยของพระองค์จึงมีการส่งเอกอัครราชทูตไปประจำในต่างประเทศเป็นครั้งแรก และพระองค์ยังทรงเสด็จประพาสประเทศต่างๆ เพื่อนำวิทยาการสมัยใหม่มาพัฒนาประเทศ ด้านการคมนาคมและสาธารณูปโภค ทรงให้สร้างถนนขึ้นหลายสายและทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างสะพานข้ามคลองและทางรถไฟหลายแห่ง อาทิ สะพานเฉลิมสวรรค์เฉลิมศรี ทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เป็นต้น

ส่วนด้านสาธารณูปโภค ทรงมีพระราชดำริว่าประชาชนควรมีน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค พระองค์จึงทรงให้ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นด้วยทรงอยากให้ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ พระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นค่าก่อสร้างโรงพยาบาลวังหลัง (ซึ่งปัจจุบันคือโรงพยาบาลศิริราช) เพื่อเป็นสถานที่สำหรับรักษาประชาชนที่เจ็บป่วย ด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการสังคายนาและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยตัวอักษรไทยเป็นครั้งแรก และทรงให้มีการตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์เป็นฉบับแรกด้วย ส่วนด้านศิลปวัฒนธรรมนั้น ในสมัยของพระองค์ส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรป จึงนำสถาปัตยกรรมตะวันตกมาผสมผสานกับของไทยได้อย่างงดงาม เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชวังสวนดุสิต และกระทรวงกลาโหม เป็นต้น

พระราชกรณียกิจอีกประการที่สำคัญยิ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การเลิกทาส พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้มีการเลิกทาสให้เป็นไทตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ด้วยทรงไม่ต้องการให้มีการกดขี่เหยียดหยามคนไทยด้วยกันเอง และทรงเห็นว่าการมีทาสเป็นสิ่งที่ล้าสมัย ไม่เหมาะกับประเทศที่เจริญแล้ว พระองค์ได้ทำการปรึกษาราชการแผ่นดินในหลายฝ่ายเพื่อหาวิธีไม่ให้มีเหตุกระทบกระเทือนต่อตัวทาสและเจ้าของทาส

ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ พระองค์ได้ทรงตราพระราชบัญญัติทาส ห้ามคนที่เกิดในรัชกาลปัจจุบันเป็นทาส และต่อมาพระองค์ทรงตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท ณ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๑๗ ด้วยพระวิริยะอุตสาหะทำให้ทรงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไทโดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว

นอกจากนี้ การเสด็จประพาสต้น ก็เป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเสด็จพระราชดำเนินเป็นการลับทางรถไฟหรือไม่ก็ทางเรือ ทรงแต่งพระองค์อย่างสามัญชน เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ สิริรวมพระชนมายุได้ ๕๘ พรรษา นับเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ด้วยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่พระปรีชาสามารถ และเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรไทย สมกับพระราชสมัญญา "พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน”

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องใน วันปิยมหาราชที่จะถึงนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยแสดงความจงรักภักดี ด้วยการสมัครสมานสามัคคี เนื่องจากประเทศไทยของเราตอนนี้กำลังประสบปัญหาอุทกภัยอย่างรุนแรง ทำให้พี่น้องชาวไทยในบางพื้นที่ของประเทศประสบความเดือนร้อนจากภัยน้ำท่วม ในฐานะที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องสมัครสมานสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามที่บ้านเมืองประสบปัญหา เหมือนอย่างที่พระองค์ท่านทรงพัฒนาประเทศและปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยให้มีความเป็นเอกราชมาจนถึงปัจจุบันนี้

***********************

ที่มา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

เนื้อหานี้ในภาษาอื่น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง/บทความที่น่าสนใจ

  • เมื่อ AI ตอบว่าเคยมาหาดใหญ่
    เมื่อ AI ตอบว่าเคยมาหาดใหญ่
  • ​พิธีลอดซุ้มประตูป่าวันวิสาขาบูชา หนึ่งเดียวในสยามประเทศที่ "วัดห้วยหลาด" รัตภูมิ
    ​พิธีลอดซุ้มประตูป่าวันวิสาขาบูชา หนึ่งเดียวในสยามประเทศที่ "วัดห้วยหลาด" รัตภูมิ
  • ​"อบจ.สงขลา ผนึก ทน.หาดใหญ่" ทำแผนใช้พื้นที่หน้าหอนาฬิกาสร้างหอชมเมืองหาดใหญ่
    ​"อบจ.สงขลา ผนึก ทน.หาดใหญ่" ทำแผนใช้พื้นที่หน้าหอนาฬิกาสร้างหอชมเมืองหาดใหญ่
  • สภาพัฒน์-ม.อ. ประชุมระดมความเห็นจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเชิงพื้นที่สงขลา-ปัตตานี
    สภาพัฒน์-ม.อ. ประชุมระดมความเห็นจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเชิงพื้นที่สงขลา-ปัตตานี
  • ​มั่นใจตลาดหาดใหญ่ยังโต แสนสิริส่ง “ดีคอนโด แซนด์” พร้อมจัดโปรเปิดตัวลด 2.5 แสน 25-26 มี.ค.66
    ​มั่นใจตลาดหาดใหญ่ยังโต แสนสิริส่ง “ดีคอนโด แซนด์” พร้อมจัดโปรเปิดตัวลด 2.5 แสน 25-26 มี.ค.66
  • ​ม.อ.ชี้ฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เพิ่มโอกาสขยายตลาดกิจการฮาลาลไทย
    ​ม.อ.ชี้ฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เพิ่มโอกาสขยายตลาดกิจการฮาลาลไทย
  • ​คณะแพทยศาสตร์ ม.อ.ผนึก ศจย. จัดประชุมวิชาการ "คนใต้ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า"
    ​คณะแพทยศาสตร์ ม.อ.ผนึก ศจย. จัดประชุมวิชาการ "คนใต้ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า"
  • ​ประเดิมที่สงขลา "ทีเส็บ" จัดโรดโชว์โครงการ ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย
    ​ประเดิมที่สงขลา "ทีเส็บ" จัดโรดโชว์โครงการ ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย
  • ​ซีแพค เปิดบ้านต้อนรับส.อสังหาฯ สงขลา โชว์นวัตกรรมการก่อสร้างสีเขียวย้ำแนวคิด ‘ล้ำ เปลี่ยน โลก’
    ​ซีแพค เปิดบ้านต้อนรับส.อสังหาฯ สงขลา โชว์นวัตกรรมการก่อสร้างสีเขียวย้ำแนวคิด ‘ล้ำ เปลี่ยน โลก’
  • Festival Economy for Songkhla MICE CITY ยกระดับสงขลาสู่การเป็นศูนย์กลางการจัด Event
    Festival Economy for Songkhla MICE CITY ยกระดับสงขลาสู่การเป็นศูนย์กลางการจัด Event
  • ​ก.พาณิชย์ ลุยช่วยดันสินค้าท้องถิ่นสู่ตลาดโลกเปิดรับสมัครชิงรางวัลการันตีคุณภาพแบรนด์
    ​ก.พาณิชย์ ลุยช่วยดันสินค้าท้องถิ่นสู่ตลาดโลกเปิดรับสมัครชิงรางวัลการันตีคุณภาพแบรนด์