มหาวิทยาลัยทักษิณ สร้างองค์ความรู้จากผืนนา คืนสุขสู่ชุมชน


19 ต.ค. 2564

พื้นที่นา 1 ไร่ ของชาวบ้านบ้านกล้วยเภา ต.ดอนประดู่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง

ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นแปลงทดลองเพื่อศึกษารูปแบบการจัดการนาผสมผสานระบบอินทรีย์เลี้ยงปล

าในนาข้าว โดยทีมวิจัยของสถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยทักษิณ

เมื่อได้ผลการวิจัยแล้วจึงนำกลับคืนความรู้สู่ชุมชน

องค์ความรู้นี้เกิดจากการทำงานร่วมกันของมหาวิทยาลัยและนักวิจัยชุมชน ซึ่งทำงานร่วมกันทุกกระบวนการ

ตั้งแต่เริ่มพัฒนาแปลงทดลอง ดูแลรักษา เก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย เก็บเกี่ยวผลิตและทดลองแปรรูปจำหน่าย

สมาชิกชุมชนจึงมีความรู้สึกเป็นเจ้าของผืนนาแห่งนี้ สนใจติดตามผลจากการศึกษาวิจัย

นางสาวจิตรา จันโสด หัวหน้าทีมวิจัยให้ข้อมูลว่า รูปแบบการจัดการนานี้ใช้ชื่อว่า “โมเดลนาสร้างสุข”

ใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ วิถีพอเพียงบนพื้นที่นา 1 ไร่ มีการทำนาข้าวสังข์หยดอินทรีย์ร่วมกับการเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุย

10,000 ตัว ได้ผลผลิตข้าวสังข์หยดอินทรีย์ 400 กก./ไร่

เนื่องจากปัญหาอุทกภัยซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมาบนผืนนาแปลงเดียวกันทำได้ 700 กก./ไร่

วิธีการปักดำด้วยจำนวนต้นกล้า 3 ต้นต่อกอระยะห่าง 25x25 ซม. ใส่ปุ๋ยอินทรีย์สูตร ICOFIS ในช่วงข้าวอายุ 30

วันหลังปักดำครั้งเดียว ทำให้ต้นข้าวเติบโตได้ดี วิธีการนี้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้

ส่วนปลาดุกมีอัตราการรอดร้อยละ 80 ได้น้ำหนักปลารวม 1,314 กก.

ได้นำผลผลิตไปตรวจหาสารสำคัญแสดงปริมาณคุณค่าทางโภชนาการ และคำณวนต้นทุนการผลิต

เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการผลิตจริงของชุมชน เช่น ใช้เพื่อวางแผนการควบคุมต้นทุน

และการประเมินความคุ้มทุนในระยะต่างๆ

นางสาวพิมพ์ชนก แก้วอุดม นักวิชาการที่ดูแลด้านการเพิ่มมูลค่าผลผลิต

ได้ทดลองแปรรูปปลาดุกเป็นปลาดุกแดดเดียวเพื่อจัดจำหน่าย “สถาบันฯ ได้ถ่ายทอดกระบวนการแปรรูป ขั้นตอน

สูตรและอธิบายความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ของปัจจัยที่มีต่อคุณภาพผลผลิตให้ชุมชนเข้าใจ

แนะนำโอกาสในการเพิ่มมูลมูลค่า เช่น การสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้า การแสดงคุณค่าทางโภชนาการ

การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่องการเก็บรักษาและนำไปเป็นของฝากได้ เป็นต้น”

นายพนม อินทรีย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 บ้านกล้วยเภา ได้เป็นตัวแทนของชุมชนขอบคุณมหาวิทยาลัยทักษิณ

ที่พัฒนาองค์ความรู้เพื่อให้ชุมชนได้นำไปใช้ประโยชน์

และในปีนี้ก็จะนำระบบการจัดการนานี้ไปใช้ในครัวเรือนของตนเองด้วย

นอกจากนี้ผู้ใหญ่พนมยังให้ข้อมูลว่าสถานการณ์ของการจำหน่ายข้าวอินทรีย์ยังคงขึ้นอยู่กับกลไกทางสังคม

การพัฒนาระบบกลุ่มที่เข้มแข็ง เช่นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนน่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง

ในมิติด้านความสุขชุมชนเห็นพ้องต้องการว่าโมเดลนาสร้างสุขเป็นการนำศาสตร์พระราชาผนวกกับศาสตร์สากลมา

ใช้สร้างความมั่นคงทางอาหาร มีความสุขจากการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวและในชุมชน

เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในชุมชนและมีกิจกรรมต่อเนื่อง

ทำให้ในระยะเวลาที่ผ่านมาชุมชนบ้านกล้วยเภาเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ผู้ที่สนใจข้อมูลการทำนาผสมผสานระบบอินทรีย์

สามารถติดต่อสถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ (นางสาวจิตรา จันโสด หัวหน้าโครงการ)

Facebook : Icofis Tsu