ม.หาดใหญ่ เผยเดือน ก.ค.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคใต้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2559 โดยเก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนภาคครัวเรือน ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง เผยภาพรวมความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยราคาสินค้าเกษตรปาล์ม-ยาง และการท่องเที่ยวปรับตัวดีขี้นอย่างชัดเจน หวังหลังวันลงประชามติ 7 ส.ค.บ้านเมืองไร้เหตุวุ่นวาย
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคครัวเรือนในพื้นที่ภาคใต้ เดือนกรกฎาคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน ส่วนหนึ่งมาจากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้น จากสัญญาณราคาปาล์มน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในเดือนกรกฏาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากรายได้จากภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจากสัญญาณราคาปาล์มน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จากเดิมราคาอยู่ที่ 5.30 บาทต่อกิโลกรัม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.10 บาท เป็นราคา 7.40 บาทต่อกิโลกรัม (กรมการค้าภายใน, 28 ก.ค. 25559) ประกอบกับราคายางพาราที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนมิถุนายน 5 บาท เป็นราคา 52 บาทต่อกิโลกรัม (การยางแห่งประเทศไทย, 28 ก.ค. 2559)
และรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากรัฐบาลได้ประกาศให้วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2559 เป็นวันหยุดเพิ่มเติมต่อเนื่องจากวันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2559 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา และวันพุธที่ 20 ก.ค. 2559 ซึ่งตรงกับวันเข้าพรรษา ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องรวม 5 วัน ประชาชนจึงใช้จ่ายเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเข้าสู่ช่วงเทศกาลฮารีรายอในวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ของชาวไทยมุสลิม ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมซื้อของใหม่เพื่อใช้ในเทศกาล ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ทองรูปพรรณ และเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะญาติพี่น้อง ในขณะที่ชาวไทยมุสลิมที่ทำงานในประเทศมาเลเซียก็จะเดินทางกลับมาเฉลิมฉลองด้วยเช่นกัน
ขณะที่ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คิดเป็นร้อยละ 59.40 และ 60.00 ตามลำดับ มีเพียงร้อยละ 20.00 และ 19.40 ที่คาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงาน ในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายด้านต่าง ๆ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ายังทรงตัวเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนหนึ่งก็ยังคงกังวลกับผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้คงต้องรอดูผลการลงประชามติ และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปไหน ย่อมกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งต้องรอดูนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลกันต่อไป
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากที่สุด คือ หนี้สินครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 27.4 รองลงมา คือ ค่าครองชีพ และค่าจ้างแรงงาน คิดเป็นร้อยละ 17.2 และ 15.4 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพรองลงมา คือ หนี้สินครัวเรือนและค่าจ้างแรงงานตามลำดับ