ม.หาดใหญ่ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคใต้ลดลงเหตุผลกระทบจากเหตุระเบิด
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2559 โดยเก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนภาคครัวเรือน ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง พบว่าเป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 52.8 เพศหญิง ร้อยละ 47.2 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 35-44 ปี คิดเป็นร้อยละ 29.1 และมีระดับการศึกษาปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 40.1

ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคครัวเรือนในพื้นที่ภาคใต้ เดือนสิงหาคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม ส่วนหนึ่งมาจากพืชผลทางการเกษตร ได้แก่ ยางพาราและปาล์มน้ำมันราคาปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน และความกังวลจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดใน 7 จังหวัด รวมทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าด้านต่าง ๆ และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยวปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจากรายได้จากภาคเกษตรที่ลดลง จากสัญญาณราคาปาล์มน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ที่ราคา 5.70 บาทต่อกิโลกรัม (กรมการค้าภายใน, 30 ส.ค. 25559) ประกอบกับราคายางพาราที่ปรับตัวลดลง 3 บาทจากเดือนกรกฎาคม เป็นราคา 49 บาทต่อกิโลกรัม (การยางแห่งประเทศไทย, 30 ส.ค. 2559) รวมถึงเหตุการณ์ระเบิดและเพลิงไหม้ในสถานที่ท่องเที่ยว 7 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และ ประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับเหตุการณ์วางระเบิดย่านเศรษฐกิจในจังหวัดปัตตานี (มติชนออนไลน์, 23 ส.ค. 2559) ส่งผลให้ประชาชนวิตกกังวลต่อความเชื่อมั่นสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้ลดการใช้จ่ายและชะลอการลงทุนด้านต่างๆ
อีกทั้งยังส่งผลกระทบในด้านลบต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์อย่างชัดเจน ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวเงียบเหงา เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ในบ้าน ไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย เพราะกลัวที่จะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ความไม่สงบ ดังนั้นภาครัฐและเอกชนส่วนที่เกี่ยวข้องจึงควรต้องออกมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟู เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนภาคใต้ให้กลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
ขณะที่ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คิดเป็นร้อยละ 66.60 และ 55.10 ตามลำดับ มีเพียงร้อยละ 6.40 และ 9.20 ที่คาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายด้านต่าง ๆ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ายังทรงตัวเช่นเดิม
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากที่สุด คือ หนี้สินครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 30.10 รองลงมา คือ ค่าครองชีพ และการว่างงาน คิดเป็นร้อยละ 21.70 และ 15.10 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพรองลงมา คือ หนี้สินครัวเรือน และราคาพืชผลทางการเกษตร ตามลำดับ