ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงขั้นตอนการสืบราชสันตติวงศ์


15 ต.ค. 2559

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันมาตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2515 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสถิตอยู่ในตำแหน่งที่ทางการเรียกว่าพระรัชทายาท 

30.jpg

ฉะนั้นรัฐธรรมนูญไทยได้เขียนไว้ ตั้งแต่ปี 2534 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมถึงที่จะเขียนในฉบับใหม่ ว่า เมื่อราชบัลลังก์ว่างลง กรณีที่มีการตั้งพระรัชทายาทไว้แล้ว จะไม่มีทางอื่นใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะต้องแจ้งไปยังประธานรัฐสภา ซึ่งขณะนี้คือประธาน สนช. ให้ทราบว่า ได้มีการตั้งพระรัชทายาทไว้แล้ว เมื่อไหร่ อย่างไร พร้อมหลักฐาน พยานต่างๆ ที่จะแนบไป ซึ่งเป็นเอกสารหลักฐานประกาศพระบรมราชโองการ สถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยประธานสภาจะเรียกประชุมเพื่อมีมติรับทราบอย่างเป็นทางการ เมื่อเรียบร้อยแล้วจะได้อัญเชิญขึ้นครองราชย์ และออกประกาศให้รู้ว่า บัดนี้เรามีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว นี่คือขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ชัดเจน

นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้ในกฎมณเฑียรบาลระบุไว้ว่า การตั้งเจ้านายพระองค์หนึ่งขึ้นเป็นพระรัชทายาท เป็นการตั้งตามกฎมณเฑียรบาล เพราะฉะนั้นในประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงได้มีประโยคหนึ่ง ตามโบราณนิติราชประเพณีนั้นระบุว่า เมื่อถึงเวลาที่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ ทรงเจริญพระชนมายุสมควรแล้ว ก็จะตั้งเป็นพระรัชทายาท เพื่อสืบราชสันตติวงศ์ สนองพระองค์ต่อไป

ขณะเดียวกัน ในกฎมณเฑียรบาล มาตรา 4 เขียนไว้ว่า คำว่ารัชทายาท หมายถึงเจ้านายเชื้อบรมวงศ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้สถาปนา โดยจัดการพระราชพิธีสถาปนาให้เป็นพระรัชทายาท และตอนนี้ทุกอย่างได้เดินตามกฎมณเฑียรบาล ทั้งยังเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีปัญหาใดๆ

ทั้งนี้ ปัญหาจะเกิดในกรณีที่ไม่มีพระรัชทายาท ซึ่งขณะนี้ไม่มีปัญหา เพราะเป็นกรณีที่มีพระรัชทายาท จึงไม่มีเหตุที่จะเลื่องลือ เล่าขาน คิดเป็นอย่างอื่นทั้งสิ้น ทุกอย่างจะเดินตามนี้ รัฐบาลก็ตั้งใจที่จะเดินตามนี้ ทำตามนี้ เพียงแต่จะทำช้าหรือเร็ว เป็นเรื่องที่ต้องรับสนองพระราชปรารภของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งพระองค์รับสั่ง อย่างเราต้องเข้าใจว่า แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ จะสถิตในหทัยราษฎร์ 

ขณะเดียวกัน พระองค์ท่านก็สถิตในหทัยราษฎร์สมเด็จพระบรมฯ ในฐานะทรงเป็นราษฎร ที่หมายถึงราษฎร และยิ่งการเป็นลูกด้วย ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่พระองค์ทรงรับสั่งเองว่า ขอเวลาทำพระทัยร่วมกับประชาชนชาวไทย คนไทยวิปโยคอย่างไร พระองค์ก็วิปโยคอย่างนั้น อาจจะมากยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะเป็นลูก มีความผูกพัน อยู่ๆ จะต้องมาได้รับการตั้งเป็นพระเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรทั้งหมด เพราะการเป็นพระเจ้าอยู่หัว เป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อาจรวดเร็วกะทันหันเกินไป

นายวิษณุฯ ได้กล่าวถึงการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ว่า การตั้งผู้สำเร็จราชการฯ เกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ 

1.เกิดจากกรณีที่พระมหากษัตริย์ หรือกรณีที่บุคคลอื่นที่มีอำนาจในการตั้ง เช่น คณะองคมนตรีเป็นผู้เสนอ เนื่องจากเกิดภาวะว่างเปล่าขึ้น กรณีนี้เรียกว่าเป็นโดยการแต่งตั้ง หากเป็นกรณีนี้ต้องปฏิญาณตนต่อรัฐสภา ซึ่งเคยมีมาแล้วเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยการแต่งตั้ง เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เสด็จออกผนวช สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็ต้องไปทรงปฏิญาณพระองค์ในที่ประชุมรัฐสภามาแล้ว 

2.การเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน แปลว่า เป็นชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งจะไม่มีการแต่งตั้ง ไม่มีการประกาศ ไม่มีการสถาปนา และไม่มีการไปปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภา

"เป็นทันทีในเวลาแรกสุด เมื่อเกิดเหตุที่ราชบัลลังก์ว่างลง เพราะว่าตั้งไม่ทันก็ต้องมีเพื่อจะหรืออาจจะต้องปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง แต่ถ้าไม่มีอะไรต้องปฏิบัติก็แล้วไป แต่ของอย่างนี้ต้องเผื่อเอาไว้ จะเกิดช่องว่างขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้นอย่าเรียกให้เป็นภาษาพูดว่าอัตโนมัติอะไรเลย ถือว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ส่วนจะเป็นไปพลางถึงไหน รัฐธรรมนูญเขียนว่าพลางก่อนจนกระทั่งมีการอัญเชิญพระรัชทายาทขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ตรงนั้นจะเกิดช้าเกิดเร็ว เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้เวลาสักระยะ 

ฉะนั้น ก็ไม่เกิดปัญหา ไม่มีอะไรเป็นช่องว่างสำหรับกรณีนี้ และผู้ที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนนั้น อย่าไปสนใจว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ต้องสนใจว่าตำแหน่งอะไร เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่า ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่เป็นแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่รับเป็น คือต้องเป็น แต่กรณีที่จะไม่เป็นมีกรณีเดียว คือกรณีที่มีการประกาศอัญเชิญพระรัชทายาทขึ้นทรงครองราชย์ ทุกอย่างจึงไม่มีช่องว่าง ทุกอย่างก็เดินไป"

นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ขอร้องว่าข่าวลือต่างๆ ที่ออกมาอย่างสนุกสนาน จนเละไปหมด ขอเรียนว่าไม่มีมูลความจริง ขอให้ฟังจากประกาศและแถลงของทางราชการเท่านั้น เพราะเรื่องเหล่านี้มีความละเอียดอ่อน ทางราชการจะประกาศส่งเดชไม่ได้ ประโยคเดียว คำพูดเดียว วรรคเดียว ต้องปรึกษาตั้งแต่สำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ รัฐบาล องคมนตรี จนกระทั่งได้ข้อสรุปออกมาได้

"ที่ลือกันส่งเดชว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ทรงพระปรมาภิไธยว่าดังนี้ ตั้งกันเป็นที่สนุกสนานนั้น ไม่เป็นความจริง และจะไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันด้วย เพราะพระปรมาภิไธยจะเกิดขึ้นได้ เมื่อไปถึงขั้นบรมราชาภิเษก ซึ่งเราก็รู้ว่าจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ไม่ได้ เพราะต้องรอให้ถวายพระเพลิงพระบรมศพก่อน อีกทั้งของอย่างนี้ต้องดูทั้งรัฐธรรมนูญ กฎมณเฑียรบาล และโบราณราชประเพณี ที่ไปออกคลิป ออกอะไรนั้นส่งเดช ไม่ได้ดูอะไรเลย แล้วก็ไปแต่งเองขึ้นมา"

31.jpg

ที่มา กรมประชาสัมพันธ์