สคร. 12 สงขลา แนะทำความเข้าใจโรคติดเชื้อไวรัสซิกา


17 ต.ค. 2559

ดร.นายแพทย์สุวิช ธรรมปาโล  ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ช่วงหน้าฝนเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคที่เกิดจากยุงลายสูงที่สุด เนื่องจากสภาพพื้นที่ที่มีน้ำขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย ทำให้ยุงลายมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงอื่นๆ โรคที่ควรให้ความสนใจในช่วงนี้ นอกจากโรคไข้เลือดออกแล้ว คือโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งแม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการไม่รุนแรง แต่การป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วยถือเป็นเรื่องที่ประชาคนควรให้ความสำคัญ

โรคติดเชื้อไวรัสซิก้าไม่ใช่โรคใหม่  เป็นโรคที่มีอยู่แล้วในประเทศไทย เพราะประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนอยู่ในเขตร้อนชื้น จึงมีพาหะนำโรคคือยุงลายอยู่ชุกชุม ที่ผ่านมาประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคไข้ซิกาประปราย กระจายอยู่ทั่วภูมิภาค แต่ไม่เคยมีการระบาดใหญ่เป็นวงกว้าง เหมือนที่มีรายงานข่าวในต่างประเทศ เช่น บราซิล  และในปี 2559 นี้ ประเทศไทยพึ่งเริ่มติดตั้งห้องตรวจปฏิบัติการสำหรับตรวจหาเชื้อซิกา ประกอบกับกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคที่ต้องรายงานตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558  จึงทำให้ในปีนี้มีรายงานจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถือว่าเป็นการระบาดในวงกว้าง

 

อย่างไรก็ตามโรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคที่ได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้ ผู้ที่เข้าข่ายเฝ้าระวังอาจได้รับการตรวจโดยการเจาะเลือด เก็บปัสสาวะ ในกรณีที่ป่วยมายังไม่ถึง 7 วัน หากป่วยนานกว่า 7 วัน จะตรวจเฉพาะปัสสาวะ เนื่องจากเชื้อไวรัสซิก้าสามารถอยู่ในเลือดได้แค่ 7 วัน ตั้งแต่วันเริ่มป่วย ต่อจากนั้นเชื้อจะตรวจพบในปัสสาวะได้ต่อไปอีก 1 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไข้ต่ำๆ มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ตาแดง ปวดข้อ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวให้รีบมาพบแพทย์

การติดต่อของโรคนี้เกิดจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด คล้ายกับโรคไข้เลือดออก ซึ่งไม่สามารถติดต่อทางลมหายใจหรือจากการสัมผัสทั่วไป  ดังนั้นการป้องกันที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ส่วนการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบว่ามีรายงานในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานการติดเชื้อไวรัสซิกาผ่านทางเพศสัมพันธ์  อย่างไรก็ตามผู้ที่เคยติดเชื้อ หากมีเพศสัมพันธ์ควรป้องกันโดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง 

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกยุงกัด เนื่องจากมีรายงานในต่างประเทศว่าการติดเชื้อไวรัสซิกาอาจทำให้ทารกแรกเกิดมีความผิดปกติเกิดภาวะศีรษะเล็กได้  โดยเฉพาะการติดเชื้อใน 3-6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์  อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์พึงระมัดระวังสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้ทารกเกิดความพิการได้ เช่น การสัมผัสสารเคมี การติดเชื้อไวรัส ติดเชื้อปรสิต การใช้สารเสพติด เป็นต้น  ทั้งนี้ หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการฝากครรภ์ และติดตามตลอดการตั้งครรภ์ สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสซิกานั้น จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยสูตินรีแพทย์ เพื่อทำการตรวจวัดขนาดศีรษะของทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทารกที่เกิดหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไม่ได้เกิดภาวะศีรษะเล็กทุกราย  ดังนั้น คนรอบข้างจะต้องคอยดูแลและเป็นกำลังใจตลอดการตั้งครรภ์ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสซิกาสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค  1422

ข่าวโดย   พรรณภัทร ประทุมศรี
นักวิชาการเผยแพร่ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา

sika_bannner.jpg