นาทีประวัติศาสตร์ พระราชดำรัสตอบรับขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10
(1 ธ.ค.59) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำรัสตอบรับการกราบบังคมทูลเชิญองค์รัชทายาทเสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ สืบราชสันตติวงศ์ เป็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10
พระราชดำรัสมีความว่า
"ตามที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา ได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทย เชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ กับรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยนั้น ข้าพเจ้าขอตอบรับ เพื่อสนองพระราชปณิธานและเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง"
โดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้นำประมุขทั้ง 3 ฝ่าย คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และนายวีรพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อกราบบังคมทูลเชิญขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ ในเวลาประมาณ 18.30 น. วันนี้
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว ปี 2557 หมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ อ้างถึงมาตรา 23 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 ในกระบวนการกราบบังคมทูลเชิญทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเพื่อกราบบังคมทูลเชิญขึ้นทรงราชย์ จากนั้นจะเป็นขั้นตอนที่ 4 คือประธาน สนช.ประกาศให้ประชาชนทราบ ซึ่งก่อนหน้านี้ ขั้นตอนแรก คือการประชุม ครม. และแจ้งเรื่องไปยัง สนช. ขั้นตอนที่ 2 คือประธาน สนช. แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบการสถาปนาองค์รัชทายาทขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากครบทั้ง 4 ขั้นตอน ถือเป็นเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ และจะต้องเรียกว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนกว่าจะมี พระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงเรียกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยรายละเอียดทั้งหมดจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ที่มา ไทยพีบีเอส