รัชกาลที่ 10 เจ้าฟ้านักรบของปวงชนชาวไทย


7 ม.ค. 2560

พระปรีชาสามารถด้านการทหารตลอดชั่วชีวิต และพระราชกรณียกิจเสี่ยงอันตรายในพื้นที่จังหวัดเลย เมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเข้าร่วมการรบเคียงบ่าเคียงไหล่ทหารหาญบนแผ่นดินไทยอย่างไม่หวั่นอันตรายใดๆ เป็นที่ประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นเจ้าฟ้านักรบของปวงชนชาวไทยโดยแท้จริง

37.JPEG       


       พระปรีชาสามารถด้านการทหารและการบิน
       
        "คำปฏิญาณตน ถือเป็นคำสัตย์สัญญา ที่มีค่า มีความหมาย ลึกซึ้ง หนักแน่น ถือเป็น สัจวาจาของชายชาติทหาร ที่แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ ในทุกวิถีทาง และหน้าที่ ที่มีต่อชาติบ้านเมือง ที่จะต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต ขอให้ ทม. ทุกคนสำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณ และต้องปฏิบัติ และผูกพัน ไปตลอดชีวิต และตั้งใจอย่างเที่ยงตรง ในหน้าที่ และภารกิจทั้งปวง ตามหลักธรรมเนียม ทม. ด้วยความสามัคคี และซื่อสัตย์สุจริต"

        พระราโชวาทของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในงานวันราชวัลลภ ปีที่148 ทรง ณ กองบังคับการ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2559
       38.JPEG
        ย้อนกลับไปในสมัยที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ก็เริ่มมีความสนพระทัยทางด้านการทหาร ภายหลังจากที่ทรงรับการศึกษาทางด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติม และทรงศึกษางานทางการทหารในประเทศออสเตรเลีย โดยทุนกระทรวงกลาโหม
              
        ทรงประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบ หลักสูตรต้นหนชั้นสูง หลักสูตรการลาดตระเวนและต้นหนชั้นสูง หลักสูตรส่งทางอากาศ และยังทรงเข้าการศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ ทางด้านการบินอีกมากมาย ทำให้พระองค์ทรงมีพระประสบการณ์และมีพระปรีชาสามารถด้านการบินในระดับสูงมาก

        อีกทั้งพระองค์เคยทรงเข้าร่วมการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศ ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และทรงชนะเลิศการแข่งขัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2530
              
        ภายหลังจากที่พระองค์ทรงสำเร็จการฝึกด้านการทหาร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด ดังนี้
        -มกราคม พ.ศ. 2518 ทรงเข้าเป็นนายทหารประจำกรมข่าว ทหารบก กระทรวงกลาโหม 
        -ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ 
        -พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 
        -กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
        -กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 
    -มกราคม พ.ศ. 2535 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด 
        -ปัจจุบันทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก 

       36.JPEG

        จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน ทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร 3 เหล่าทัพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
       
       ร่วมรบเคียงข้างทหารของพระองค์
       
        พระราชกรณียกิจทางด้านการทหารครั้งสำคัญที่ทำให้ปวงชนชาวไทยจดจำได้ไม่ลืมเลือน คือการที่พระองค์เสด็จฯเยี่ยม ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน คุ้มครองบ้านหมากแข้ง ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 5 - 6 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งบ้านหมากแข้งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดงอีกจุดหนึ่ง เนื่องจากมีการปะทะกันอย่างหนัก
       
        พระองค์ได้เสด็จฯ นำกำลังทหารออกปฏิบัติการ ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการของทหาร จากนั้นในรุ่งเช้าได้เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่บ้านเรือนเสียหายจากการต่อสู้ พร้อมทั้งได้รับสั่งให้มีการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีด้วย สร้างความปีติยินดีแก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎรชาวบ้านหมากแข้ง ทหารหาญ ให้มีใจฮึกเหิมต่อสู้ภัยก่อการร้ายดังกล่าวเป็นอย่างมาก
       
        นอกเหนือจากความกล้าหาญของพระองค์แล้ว ในพระราชกรณียกิจครั้งนั้น ยังปรากฏภาพในขณะที่พระองค์ทรงพักผ่อนและเสวยพระกระยาหารอย่างเรียบง่าย โดยมีเพียงช้อนสังกะสี 1 คัน จานสังกะสีเพียง 1 จานเท่านั้น และเสวยเคียงข้างเหล่าทหารชั้นผู้น้อย อย่างไม่ถือพระองค์แม้แต่นิดเดียว หากจะพูดกันในภาษาสามัญชนว่า “นอนกลางดิน กินกลางทราย” ก็คงจะไม่เกินไป
       
        ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2519 ได้เสด็จฯ กลับมาอีกครั้งเพื่อตรวจผลการซ่อมแซมบ้านเรือนราษฎร ซึ่งสร้างความปีติยินดีแก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎรชาวบ้านหมากแข้ง ทหารหาญ ให้มีใจฮึกเหิมพระองค์เสด็จฯเยี่ยมกองทหารเอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของเหล่าทหารผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง
       
        แม้จะเป็นพระราชภารกิจที่ต้องทรงเสี่ยงภยันตราย แต่ด้วยความที่ทรงเป็นชาติชายทหาร และเป็นพระราชภารกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกร และเพื่อมนุษยธรรมต่อผู้ประสบทุกข์ยาก จึงทรงปฏิบัติพระราชภารกิจดังกล่าวโดยเต็มพระราชกำลัง

33.JPEG34.JPEG35.JPEG       

ที่มา  ผู้จัดการรายวัน http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000119353
ขอบคุณข้อมูล : เฟซบุ๊ก “เรารักสมเด็จพระบรมฯ” และ หนังสือพระบารมีปกเกล้า ชาวเมืองเลย โดย สำนักงานจังหวัดเลย