ธปท.มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี60 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ห่วงคนไทยมีหนี้เสียตั้งแต่อายุยังน้อย
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ นำสื่อมวลชนภาคใต้ ร่วมรับฟัง ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวสุนทรพจน์ประจำปีกับสื่อมวลชน เรื่อง “แนวโน้มเศรษฐกิจไทย และทิศทางการดำเนินนโยบายของ ธปท. ปี 2560” ผ่านการถ่ายทอดสดจาก ห้องประชุมภัทรรวมใจ อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวสุนทรพจน์ประจำปีกับสื่อมวลชน เรื่อง “แนวโน้มเศรษฐกิจไทย และทิศทางการดำเนินนโยบายของ ธปท. ปี 2560” ซึ่งมีการ ถ่ายทอดสด ไปยังสำนักงาน ธปท.ทุกภูมิภาค และที่ ธปท.สำนักงานภาคใต้ ก็มีสื่อมวลชนร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก งานนี้ได้รับเกียรติจาก นางสุรีรัตน์ ลัคนานิตย์. ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ ให้การต้อนรับ
ดร.วิรไท สันติประภพ กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณผู้แทนสื่อมวลชนทุกท่านที่มาร่วมฟังการบรรยายในวันนี้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกปีที่ผู้ว่าการจะเล่าให้ฟังถึงมุมมองและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป โดยในวันนี้ผมจะขอแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก จะสรุปทบทวนภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2559 ส่วนที่สอง จะพูดถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2560 และส่วนสุดท้าย จะพูดถึงปัญหาสำคัญเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยบางเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไข”
ดร.วิรไท สันติประภพ
หากจะกล่าวโดยสรุปถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2559 คงพูดได้ว่า ปี 2559 เป็นปีที่มีความผันผวนสูง หลายเรื่องเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือความคาดหมาย แต่เศรษฐกิจไทยก็สามารถผ่านพ้นไปได้โดยราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตตลาดหุ้นจีนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางญี่ปุ่น ตามมาด้วยวิกฤตภัยแล้งในประเทศไทย ผลการลงประชามติ Brexit ปัญหาสถาบันการเงินในยุโรป ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่พลิกความคาดหมาย และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี สำหรับพวกเราชาวไทยแล้ว ปี 2559 เป็นปีที่จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป เพราะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคต เป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำความเศร้าโศกเสียใจมาสู่คนไทยทุกคน
ท่ามกลางความผันผวนสูงและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหลายอย่างเศรษฐกิจไทยยังสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แม้ค่าเงินบาท ตลาดเงินและตลาดทุนจะมีความผันผวนสูงกว่าปีก่อน แต่เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนต่างๆ ได้ดี ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนที่ดีสามประการ คือ เรามีกันชนที่ดี มีความยืดหยุ่นที่ดี และมีแรงเสริมจากภาครัฐที่ดี ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 3.2 ในปี 2559 เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 2.8 ในปี 2558
“การที่เรามีกันชนที่ดีไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เป็นผลจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนอย่างระมัดระวัง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมมาโดยต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับ GDP หรือเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ภาครัฐในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ภาคธุรกิจไม่มีปัญหาความเสี่ยงสูงจากการใช้สกุลเงินที่ต่างกัน (currency mismatch) ตลอดจนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยทั้งหมดนี้เป็นกันชนรองรับความผันผวนจากตลาดเงินตลาดทุนภายนอกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ระบบสถาบันการเงินมีฐานะการเงินที่เข้มแข็ง สามารถรองรับคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงบ้างในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยรองรับความผันผวนได้ดี คือ เศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นในหลายมิติ โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยกระจายตัวครอบคลุมทั้ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคบริการ ในด้านตลาดแรงงาน แม้ว่าภาคการผลิตบางอุตสาหกรรมจะชะลอตัวลง แต่ก็ไม่นำไปสู่การปรับลดการจ้างงานรุนแรง และในช่วงภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แรงงานภาคเกษตรย้ายออกไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่นได้ รวมทั้งเรายังมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนเสริม หรือ shock absorber ในภาวะที่ตลาดแรงงานตึงตัวหรืออ่อนแรงอีกด้วย
ในด้านภาคบริการ ภาคท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญมากขึ้น และมีธุรกิจสนับสนุนเกี่ยวเนื่องอีกมาก ส่งผลให้สามารถกระจายผลประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ตลอดจน ตลาดของสินค้าส่งออกไทยค่อนข้างกระจายตัว เมื่อตลาดหนึ่งมีปัญหา ก็สามารถส่งสินค้าไปยังตลาดอื่นทดแทนได้ โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน
ในส่วนของแรงเสริมจากภาครัฐนั้น ในช่วงสองปีที่ผ่านมาภาครัฐได้มีบทบาทสนับสนุนต่อเนื่อง ทั้งช่วยเยียวยาดูแลภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก และความไม่แน่นอน รัฐบาลได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มวงเงินขาดดุลงบประมาณ รวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพการเบิกจ่าย ในขณะที่นโยบายการเงินผ่อนคลายก็เป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้โดยต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยจะมีกันชนดี ความยืดหยุ่นที่ดี และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึงและเปราะบาง โดยเฉพาะครัวเรือนภาคเกษตรที่รายได้ฟื้นตัวช้า และเป็นการฟื้นตัวเฉพาะพืชผลเกษตรบางชนิดเท่านั้น ส่วนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจยังคงด้อยลง เห็นได้จากสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing loan – NPL) ที่โน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็ก
นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมในปี 2559 ถือว่าค่อนข้างซบเซา ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ยังคงอ่อนไหวและอุปสงค์ในตลาดโลกที่ยังอ่อนแรง ลักษณะดังกล่าวสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงและเป็นโจทย์สำคัญที่เราต้องช่วยกันผลักดันให้การฟื้นตัวมีการกระจายตัวมากขึ้นในระยะต่อไป
สำหรับปี 2560 นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะมีลักษณะที่กระจายตัวดีขึ้น ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ หนึ่ง ระดับน้ำในเขื่อนเพื่อการเกษตรถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ถ้าเกิดเหตุการณ์ฝนทิ้งช่วงขึ้นอีก ภาคเกษตรจะมีน้ำสำรองสามารถรับมือได้ดีกว่าปีที่แล้ว ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร จะส่งผลต่อเนื่อง และราคาสินค้าเกษตรบางประเภทในตลาดโลกเริ่มขยับสูงขึ้น เหตุผลข้อที่สอง งบประมาณภาครัฐมีเป้าหมายที่กระจายไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นทั้งในส่วนของงบกลางปีและการจัดทำงบประมาณประจำปี 2561 ที่ให้ความสำคัญต่อกลุ่มจังหวัดมากขึ้น และเหตุผลข้อที่สาม การส่งออกฟื้นตัวในลักษณะที่กระจายตัวเพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี เราจะชะล่าใจไม่ได้เพราะในโลกปัจจุบันสภาพอากาศและทิศทางการค้าระหว่างประเทศมีโอกาสแปรปรวนได้สูง
ในการประมาณการล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงปีที่แล้วที่ร้อยละ 3.2 แต่ปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอาจจะต่างจากปีก่อนบ้าง โดยการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าปีที่แล้ว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่หลายสำนักเห็นคล้ายกันว่าจะขยายตัวดีขึ้น ถ้าเรามองย้อนกลับไปจะพบว่าการส่งออกของไทยและการส่งออกของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้นและกระจายตัวมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2559 แรงส่งของภาคการส่งออกที่มีต่อเนื่อง ควรช่วยให้การลงทุนของภาคเอกชนในปีนี้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมส่งออก
นอกจากนี้ โครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตามกรอบส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาทในปี 2559 คิดเป็น 1.7 เท่าของปี 2558 และยังมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติไว้เดิมตั้งแต่ปี 2558 ที่จะต้องผลักดันให้เกิดการลงทุนขึ้นจริงด้วย
อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าจะมีมากขึ้นกว่าปีก่อน คือ การลงทุนและการใช้จ่ายจากภาครัฐ แม้การขาดดุลงบประมาณประจำปี 2560 จะเท่ากับปีก่อน แต่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณกลางปีเพิ่มอีก 1.9 แสนล้านบาท โดยมุ่งเพิ่มรายจ่ายในพื้นที่ต่างจังหวัด ส่งผลให้เครื่องยนต์ภาครัฐมีบทบาทมากขึ้น ขณะที่รัฐวิสาหกิจจะมีการลงทุนในโครงการต่าง ๆ มากขึ้นเช่นกัน ทั้งการลงทุนที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีก่อน เช่น การลงทุนในโครงการรถไฟทางคู่ การก่อสร้างมอเตอร์เวย์ และการลงทุนใหม่ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ที่จะเริ่มดำเนินการในปีนี้ เช่น สายสีชมพู เหลือง และส้ม
ส่วนแรงขับเคลื่อนที่คาดว่าจะมีแรงส่งแผ่วลงบ้างมีอยู่ 2 ส่วน คือ การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการ ทั้งสองตัวเราคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงบ้าง ในส่วนการบริโภคภาคเอกชนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปีที่แล้วส่งผลให้ประชาชนได้ใช้จ่ายล่วงหน้าไปบ้าง ประกอบกับ หนี้ภาคครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับสูง และภาคชนบทมีภาระหนี้มากขึ้นจากสถานการณ์ภัยแล้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการขยายตัวของการบริโภคไปอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้ ประชาชนโดยรวมยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยโดยเฉพาะกิจกรรมด้านบันเทิงและสันทนาการ
ส่วนการส่งออกภาคบริการมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน อันเป็นผลต่อเนื่องจากมาตรการปราบปรามทัวร์ผิดกฎหมาย โดยนักท่องเที่ยวจีนปีนี้มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมยังสามารถขยายตัวเป็นบวกได้โดยมีแรงสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นที่จะเพิ่มสูงขึ้น เช่น รัสเซีย และประเทศในกลุ่มอาเซียน
ที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าเป็นกรณีฐานหรือกรณี baseline ของแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2560 แต่ที่เราต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ความไม่แน่นอนที่ปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบหลายอย่างที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้สูงกว่าหรือต่ำกว่ากรณีฐานได้ค่อนข้างมาก มุมมองด้านความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ สอดคล้องกับที่หลายหน่วยงานพยากรณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นปัจจัยจากนอกประเทศ
ปัจจัยแรก คือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา นโยบายใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump รวมทั้งมาตรการด้านภาษีหลายด้านอาจจะส่งเสริมให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวสูงกว่าที่คาด ขณะเดียวกันเราก็ต้องระวังปัจจัยลบจากความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าและผลต่อเนื่องที่ประเทศอื่นจะตอบโต้ ซึ่งจะเป็นตัวฉุดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และกระทบต่อบรรยากาศการค้าและการลงทุนทั้งโลก
ปัจจัยที่สอง คือ ความเสี่ยงด้านการเมืองในยุโรป ทั้งจากการเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับ แนวทางการเจรจาออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรที่อาจจะเป็นHard Brexit รวมทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์การเมืองในแถบตะวันออกกลาง จะสร้างความผันผวนให้ตลาดเงิน ตลาดทุนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ตลอดทั้งปี ในขณะเดียวกัน เราก็ยังต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปบางประเทศที่ยังเปราะบางจากภาคสถาบันการเงินที่อ่อนแอ ปัจจัย
เรื่องที่สาม คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจีนในภาวะที่หนี้สินภาคธุรกิจอยู่ในระดับสูง และหลายอุตสาหกรรมยังไม่ได้ถูกปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่สูง การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจีนอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดได้
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่สำคัญก็มีหลายปัจจัยที่เราต้องติดตามไม่ว่าจะเป็น ผลสำเร็จของการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ การดำเนินโครงการลงทุ