ม.ทักษิณแถลงข่าว ภาษาไทยกับการเมือง อุปลักษณ์และความแย้งย้อน ยุค Thailand 4.0
รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา แถลงในประเด็น การใช้ภาษาไทยกับการเมือง : การอุปลักษณ์และความแย้งย้อน ยุคประเทศไทย๔.๐ หรือ Thailand 4.0 เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ (๒๙ กันยายน ๒๕๖๐) โดยระบุว่า
ในท่ามกลางกระแสและการตื่นตัวอย่างขนานใหญ่ของสังคมและประชาชนทั่วไป ต่อการดำเนินนโยบายทางการเมืองและการริเริ่มนโยบายพัฒนาประเทศเพื่อพัฒนา/ เปลี่ยนผ่านประเทศไทย จากวิกฤตการทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ไปสู่“ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ภายใต้รูปแบบการขับเคลื่อนที่เรียกว่า ประเทศไทย ๔.๐ หรือ Thailand 4.0 นั้น ภาษาไทยมีบทบาทสำคัญในการ “สื่อสาร” สร้างอุดมการณ์และการขับเคลื่อนเชิงนโยบายประเทศไทย ๔.๐ และนโยบายอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง ซ่อนเงื่อนโยงใยไม่สิ้นสุด ผ่านการสร้าง “อุปลักษณ์” (Metaphor) ที่ไม่เป็นเพียง “ถ้อยคำเปรียบเทียบที่แล่นวูบ” เท่านั้น
แต่เต็มไปด้วยศิลปะ/ ชั้นเชิงของการประดิษฐ์ประดอยภาษา ที่เกิดจากสร้าง “ความคิดเชิงอุปลักษณ์” (Conceptual Metaphor) อันหลายหลาก ภายใต้วิธีคิด วิธีการ กระบวนการ และการปฏิบัติการทางการเมืองที่ลึกซึ้ง และแยบยล กระทั่งกลายเป็น “คำอุปลักษณ์” ที่ดำรง-ผลึกแน่นในการรับรู้และสามัญวิถีของผู้คนในสังคมนั้น โดยกลไกรัฐเชิงสถาบันและโครงสร้างอำนาจ ที่ทำให้ปราศจากการตั้งคำถาม การปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การแสดงออก การรับรู้ข้อมูล/ ข้อเท็จจริง รวมทั้งการข่มขู่ คุกคาม จับกุม คุมขัง จ้องจับ ทำให้หวาดกลัวด้วยกลไกอำนาจรัฐทั้งที่เปิดเผยและปิดเร้นอำพราง ดังเช่น คำอุปลักษณ์ว่าด้วย การคืนความสุข จากการเสียสละเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ การร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปราบโกง กวาดล้างการคอรัปชั่น การสร้างความสามัคคีปรองดอง ยุทธศาสตร์ชาติ และอนาคตประเทศไทย” เป็นต้น
โดยที่การใช้ภาษาเพื่อประกอบสร้างความคิดเชิงเชิงอุปลักษณ์ มีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายรูปแบบและวิธีการ โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรม ทำให้หลุดจากกรอบความรับผิดชอบทางจริยธรรม ผลประโยชน์ส่วนรวม และความเป็นประชาธิปไตย
การอุปลักษณ์ “ความสุขและการคืนความสุข” ให้ประเทศไทย ที่เป็นการหยิบยื่นความสุขฝ่ายเดียวในนามของความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ พร้อมๆกับการดึงประชาชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง/ หยิบยื่นความสุขเพื่อสถาปนาอำนาจนำและทำให้ “ประชาชน” กลุ่มต่างๆในสังคม “เชื่องและเซื่องซึม” อยู่ในความสุขที่ตายตัว ทั้งที่ความสุขนั้นมีความหมายที่ซับซ้อน หลายหลากมิติ ทั้งในแง่ความสุขจากการสรรค์สร้างของปัจเจกบุคล และประชาชน พลเมือง ในกิจการสร้างสุข ท่ามกลางการมีชีวิตสาธารณะที่ผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้างสังคมส่วนรวม
การอุปลักษณ์รัฐธรรมนูญให้เท่ากับ “เป็นประชาธิปไตย” ทว่ารัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุดในการจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจของผู้คน การรับรองสิทธิเสรีภาพ การจัดสรรทรัพยากร และการกำหนดทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน ให้บรรลุเป้าหมายอันตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม ธำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ในหลักการประชาธิปไตย ความเป็นนิติธรรม และนิติรัฐ กลับมีเนื้อหาที่ไม่สะท้อนความเป็นประชาธิปไตย ขาดการยึดโยงกับประชาชน การเปิดช่องให้อำนาจรัฐราชการเข้ามามีบทบาทในระบบรัฐสภา การลิดรอนระบบการตรวจสอบ ควบคุม และถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันในระบอบประชาธิปไตย
พร้อมเชิดชูความโดดเด่นด้วยมายาภาพอันเก่าก่อน คือ การ “การต้านโกง” อันเป็นการตอกตรึงและย้ำความทรงจำอันเลวร้ายของผู้คนที่มีต่อนักการเมืองเพียงกลุ่มเดียว ทั้งที่การทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นในแทบทุกอณูของสังคม การใช้ “มาตรฐานจริยธรรมที่คลุมเครือ” การปฏิรูปในนามของ “คนดี” ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างอนาคต ๒๐ ปี และคงไว้ซึ่ง “อำนาจพิเศษ” ตามมาตรา ๔๔
ประเทศไทย ๔.๐ หรือ Thailand 4.0 ที่กำลังเดินไปตามการทิศทางพัฒนา สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ได้กลายมาเป็นคำอุปลักษณ์ที่ติดหูติดตาประชาชนมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ด้วยภาษาและถ้อยคำใหม่ๆ เช่น นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เกษตรอุตสาหกรรม ฯลฯ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อปลุกปลอบ สร้างระบบปฏิบัติการให้สังคมยินยอมพร้อมใจเปล่ง “คำ” ดั่ง “นกแก้วนกขุนทอง”
เพราะการพัฒนาภายใต้วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ดังกล่าว แม้กำหนดเป้าหมายไว้ที่การขับเคลื่อนสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แต่กลับให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลกและอุตสาหกรรมข้ามชาติ โดยละเลย/ ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความเป็นธรรม ความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ แต่อย่างใด ดังสะท้อนจากการริเริมโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ นโยบายทวงคืนผืนป่า นโยบายประชารัฐ เป็นต้น
ขณะที่เส้นทางสู่การเลือกตั้ง หรือ โรดแมป (Road Map) ที่ได้ประกาศต่อสาธารณชนมาอย่างต่อเนื่อง กลับไม่มีความแน่นอนมากนัก ในแง่ระยะเวลาที่นำไปสู่การจัดการเลือกตั้ง แต่มีความชัดเจนในแง่การใช้คำเป็นเกมส์ภาษา (Language Game) เพื่อปักหลักรักษาพื้นที่อำนาจทางการเมืองบนฐานความชอบธรรมจากการทับถมซากปรักหักโดยผู้ร้ายตลอดกาลอย่างนักเลือกตั้ง และการตั้งคำถามอันชาญฉลาด ๔ ข้อเชิญชวนประชาชนส่งความคิดเห็นยังศูนย์ดำรงธรรม เพื่อรวบรวมให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตั้งคำถามแบบไม่ประสงค์คำตอบหรือมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ภายใต้ฐานคติ ความคิด ความเชื่อที่ฝังจำต่อนักการเมือง/ นักเลือกตั้ง
ที่สำคัญคือการดูแคลนประชาชน พลเมืองจะไม่สามารถใช้เจตจำนงได้อิสรเสรีและเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองได้อย่างมีคุณภาพในพื้นที่และปริมณฑลทางการเมือง จึงเป็นความชอบธรรมที่จะเข้ามา “ยึดกลับคืน” ขณะถือไพ่เหนือกว่าของรัฐ-ชนชั้นนำ โดยที่เส้นทาง-ตารางเวลาหรือโรดแมป ที่กำหนดและเลื่อนเปลี่ยนไปมา ทำหน้าที่เสมือนเครื่องมือในการ “สะกด” และ “ควบคุม” ให้ประชาชน “เชื่อ” และมี “ความหวังในความลวง”
โดยสรุปในแง่การใช้ภาษาไทยกับการเมือง กล่าวได้ว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อสารอย่างผิวเผิน เท่านั้น แต่คืออำนาจในการสร้าง กำกับ ตอก ตรึง ควบคุม อำพราง ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ ความรู้ ความจริง โดยเฉพาะการปฏิบัติการและการโฆษณาทางการเมือง ด้วยวิธีการที่เรียกว่าการอุปลักษณ์ถ้อยคำจากการประกอบสร้างความคิดเชิงอุปลักษณ์ ที่มีความหลากวิธีการมากขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ บทเพลง บทกวี ภาพยนตร์บันเทิง วาไรตี้ เป็นต้น
ในอีกด้านหนึ่งนับวันความคิดและการประกอบสร้างความคิดเชิงอุปลักษณ์ ยิ่งทวีสร้างความย้อนแย้งให้แก่สังคมมากขึ้นไปเงาตามตัว เพราะคำเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับการปฏิบัติ ทำให้เกิดการผลิตซ้ำความสัมพันธ์แบบคู่ตรงข้ามระหว่าง ภาษากับการปฏิบัติของผู้พูดหลายกรณี อาทิ พอเพียง-ซื้ออาวุธ ประชาธิปไตย-วุฒิสมาชิกแต่งตั้งเลือกนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
การมุ่งสร้างอุปลักษณ์ทางการเมือง แม้จะเป็นการ “รุก” กรุยทาง-สร้างความชอบธรรมในการดำรงอยู่ การละเมิดสิทธิ บิดประชาธิปไตย และประชาชนให้อยู่ในปกครองแบบกระชับ/ กำกับแน่น ด้วยกฎหมายอันชอบ/ มิชอบ กระนั้นในทางกลับกันประชาชน พลเมือง ก็ไม่ได้นิ่งงันหรือยอมจำนนโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่จะมีปฏิบัติการ สร้างการเคลื่อนไหวตอบโต้ด้วยการสร้างชุดคำและการประกอบสร้างความคิดอุปลักษณ์เพื่อขจัดความแย้งย้อนด้วยไปพร้อมๆกัน
เพราะในด้านหนึ่งประเทศไทย ๔.๐ หรือ Thailand 4.0 อันเกิดจากการมุ่งสร้างอุปลักษณ์ทางการเมืองจะถูกบันทึกไว้ และประชาชนก็พร้อมที่จะรื้อค้น ถอดถอน นำกลับมาตรวจสอบ โต้ตอบ และเทียบเคียง กับพฤติกรรมและการปฏิบัติของผู้สร้างอุปลักษณ์ได้อย่างทันท่วงที และไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆอีกไป การนี้จึงสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้ารอบใหม่ในอนาคตอันใกล้
ข้อเสนอและทางออกในวันนี้จึงอยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้ประชาชน พลเมือง และกลุ่มองค์กรต่างๆในสังคม มีสิทธิ เสรีภาพ ในการปฏิบัติการสร้างคำ-ความคิดเชิงอุปลักษณ์ ได้อย่างอิสระ เสรี มีหลักประกันคุ้มครอง ปกป้องที่เพียงพอ ปราศจากการละเมิดใดๆต่อผู้ปรารถนา “ร่วมสร้าง” อนาคตประเทศไทย และแสดงออกบนหลักการพื้นฐานและสิทธิมนุษยชนสากล ที่สำคัญที่สุดคือ การทำให้ “การเลือกตั้ง” ในฐานะคำอุปลักษณ์และความคิดเชิงอุปลักษณ์ที่ถึงพร้อมการยอมรับของอารยะสังคม “กลับคืน” สังคมไทยโดยเร็วที่สุด