ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ด้านภาวการณ์ทางสังคม เดือนสิงหาคม 2560
ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ด้านภาวการณ์ทางสังคม เดือนสิงหาคม 2560
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ในเดือนสิงหาคม 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการวัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงของความสุขโดยรวมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง พบว่า เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 55.40 เพศชาย ร้อยละ 44.60 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 36.50 และมีระดับการศึกษาปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 31.10
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ด้านภาวการณ์ทางสังคม เดือนสิงหาคม 2560 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมด้านภาวการณ์ทางสังคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม
ดัชนีความเชื่อมั่นด้านภาวการณ์ทางสังคม ในเดือนสิงหาคมเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม พบว่า ความสุขในการดำเนินชีวิต และฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นจากราคายางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้น และการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด วันแม่แห่งชาติ และวันอีดิ้ลอัฎฮา ส่วนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหายาเสพติด และเสถียรภาพทางการเมือง มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากภาครัฐสามารถจับกุมและดำเนินคดียาเสพติดได้เพิ่มมากขึ้น
หากแต่การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมีความเชื่อมั่นลดลง เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบ จากการปล้นเต็นท์รถมือสองในพื้นที่อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เพื่อทำคาร์บอมบ์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก
ขณะที่ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าความสุขในการดำเนินชีวิต และฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) ดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ 27.20 และ 28.30 ตามลำดับ นอกจากนี้การแก้ปัญหายาเสพติด และเสถียรภาพทางการเมืองดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ 35.90 และ 38.20 และปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อความสุขในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 30.20 รองลงมา คือ หนี้สินครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 25.30