ม.อ.สุราษฎร์ เปิดถนนยางพารา วิจัยใช้ยางแห้ง-เพิ่มสัดส่วนยางทำถนน


21 พ.ย. 2560

ม.อ.สุราษฎร์ เปิดถนนยางพารา  วิจัยใช้ยางแห้ง-เพิ่มสัดส่วนยางทำถนน  

23621285_537854153217356_7413367593957611409_n.jpg

ฯพณฯ ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และ ที่ปรึกษาสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานในพิธีเปิด ถนนยางพารา ทศพาราวิถี และ เบญจพาราวิถี ณ ลานศรีวิชัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560  โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวรายงานการดำเนินโครงการ

รองศาตราจารย์ ดร.เจริญ นาคะสรรค์ รองอธิการบดีวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี  กล่าวถึง โครงการวิจัยและพัฒนาการสร้างถนนยางพารา ทศพาราวิถี และ เบญจพาราวิถี ว่า เป็นผลงานของคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากหลายวิทยาเขต ซึ่งมีการศึกษาวิจัยในการนำยางพารามาใช้ประโยชน์  โดยถนนทั้ง 2 เส้น มีส่วนผสมของยางพารากับแอสฟัลต์คอนกรีต ในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน  โดยถนนเบญจพาราวิถี มีส่วนผสมของยางพารา ร้อยละ 5  และ ถนนทศพาราวิถี มีส่วนผสมของยางพารา ร้อยละ 10 และ เป็นถนนเส้นแรกที่ใช้ส่วนผสมของยางพารามากที่สุดในประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพการใช้งานของถนนที่มีส่วนผสมของยางพาราที่แตกต่างกัน

ในปัจจุบันมีถนนหลายสายที่สร้างโดยมีส่วนผสมของยางพารากับแอสฟัลต์คอนกรีต แต่โดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของยางอยู่ไม่เกิน ร้อยละ 5 และใช้น้ำยางพาราเป็นส่วนผสม  แต่จากนักวิชาการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในฐานะผู้ทำวิจัยและทำงานเรื่องยางพารามายาวนาน โดยมีการร่วมมือกันในทุกวิทยาเขต ได้มีการศึกษาส่วนผสมในรูปแบบใหม่คือ เปลี่ยนเป็นใช้ยางแห้งเป็นส่วนผสมแทนน้ำยางโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ทำให้สามารถผสมยางได้มากขึ้นกว่า  5 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งการผสมยางในปริมาณมากขึ้น ไม่ได้มีความยุ่งยากในกระบวนการผลิต และจากการทดลองใช้งาน ถนนที่มีส่วนผสมยางพารามากจะมีความนุ่มนวลในการขับขี่ และ ระยะเบรกจะสั้นกว่า  ส่วนความคงทนและคุณสมบัติอื่นๆ เป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลาติดตามผลต่อไป และจะมีการติดต่อให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ เข้ามาตรวจสอบคุณภาพถนนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บข้อมูลและกำหนดมาตรฐานในโอกาสต่อไป

สำหรับเหตุผลหนึ่งที่ใช้ยางแห้งแทนน้ำยาง เพราะจากการศึกษาการผสมระหว่างยางกับแอสฟัลท์นั้น  น้ำไม่ได้มีประโยชน์ในกระบวนการผสมดังกล่าว ดังนั้นการใช้เนื้อยางอย่างเดียวเพื่อหลอมผสมกับแอสฟัลท์ ซึ่งเป็นการนำพอลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาหลอมละลายเข้าด้วยกัน ด้วยความร้อนจึงเป็นสิ่งที่น่าจะเพียงพอ   

“จริงๆ แล้วส่วนผสมของยางอาจได้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ แต่จะคุณภาพดีหรือไม่ยังไม่มีคำตอบเพราะยังมีเคยมีใครทำมาก่อน  เรากำลังจะหาคำตอบว่าปริมาณที่เหมาะสมคือเท่าไหร่  ซึ่งนี่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มมูลค่ายางในภาวะที่ราคายางตกต่ำ ประเทศไทยผลิตยางดิบ 4 ล้านตันต่อปี และส่งออก 3 ล้านตัน แต่ที่ได้นำไปแปรรูปขายเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น มีมูลค่ามากกว่าราคายางที่ส่งออก  ซึ่งหากมีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มากขึ้น จะทำประเทศจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท”  รองอธิการบดีวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี  กล่าว

23519316_537854486550656_170412695306752514_n.jpg23561649_1513686735382644_717616386251669756_n.jpg23434746_1327517787359980_3809931451220066243_n.jpg23376201_1327517897359969_2553470804319281286_n.jpg