กฟผ.พร้อมรับมือช่วงหยุดจ่ายก๊าซ โรงไฟฟ้าจะนะเดินเครื่องด้วยดีเซลแทน 28 ก.ค.-1 ส.ค.61


25 ก.ค. 2561

กฟผ.เตรียมมาตรการรองรับกรณีแหล่งพัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ 28 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2561 ขอความร่วมมือคนไทยใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด พร้อมประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้า

1.jpg

(24 ก.ค.61) นายจรรยง วงศ์จันทร์พงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับสื่อมวลชนภาคใต้ ในหัวข้อ “ความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าไทย : กรณีหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA - A18” ณ โรงแรมบีพี แกรนด์ทาวเวอร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีสื่อมวลชนภาคใต้ร่วมการสัมมนาจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 23 ก.ค.61 ได้มีการนำสื่อมวลชนร่วมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในการเตรียมความพร้อมรับมือ 

ทั้งนี้ จากการที่ กฟผ. ได้รับการประสานจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งพัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย (JDA – A18) ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2561 รวม 5 วัน เพื่อบำรุงรักษาประจำปี ส่งผลให้ปริมาณก๊าซฯ หายไปจากระบบ 440 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้โรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 1 และ 2 กำลังผลิตรวม 1,345 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักของภาคใต้ไม่สามารถเดินเครื่องได้ กฟผ. จึงต้องปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติเป็นน้ำมันดีเซล โดยในช่วงเวลาที่หยุดจ่ายก๊าซฯ คาดการณ์ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 6.1 ล้านลิตร และน้ำมันเตา 6 ล้านลิตร 

โดยวันนี้ยังมีการเสวนาเรื่องความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าไทย โดยมี นายพิพัฒน์ วรคุณพิเศษ ผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า กฟผ. นายดำรงค์ ไสยะ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าจะนะ นายสุทธิชัย สุขสีเสน พลังงานจังหวัดสงขลา และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาและตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชนที่ร่วมงานในครั้งนี้ ซึ่งประเด็นสำคัญคือการพูดถึงเรื่องความเสียงด้านความมั่นคงทางพลังงานของภาคใต้ ที่พึ่งพาการผลิตไฟฟ้าหลักจากก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ส่วนพลังงานชนิดอื่นยังมีน้อย มีต้นทุน เสี่ยงต่อความมั่นคงทางพลังงานในพื้นที่

[video-0]

นายดำรงค์ ไสยะ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าจะนะ กล่าวว่าโรงไฟฟ้าจะนะชุดที่1 และ 2 ได้ปรับเปลี่ยนการเดินเครื่องให้สมารถรองรับการใช้น้ำมันดีเซลแทนก๊าซธรรมชาติไว้แล้ว และมีการสำรองน้ำมันเพื่อใช้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าในช่วงแหล่งเจดีเอ-เอ18 หยุดซ่อม เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้ไฟฟ้าของพี่น้องประชาชน แต่การใช้น้มำมันแทนก๊าซธรรมชาตินั้นต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว หากใช้เป็นเวลานานภาระก็จะไปอยู่ที่ประชาชนที่ต้องใช้ไฟฟ้าในราคาแพงขึ้น ส่วนกรณีการหยุด จ่ายก๊าซในครั้งนี้ซึ่งเป็นการหยุดซ่อมบำรุงประจำปี โรงไฟฟ้าจะนะได้สำรองน้ำมันและทดสอบการเดินเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้วและเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟในภาคใต้  

ด้านนายจรรยง วงศ์จันทร์พงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า สำหรับการเตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการหยุดจ่ายก๊าซฯ ในครั้งนี้ ได้แก่ 1. ทำการตรวจสอบอุปกรณ์ของโรงไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าล่วงหน้าเพื่อให้มีความพร้อมใช้งาน รวมถึงงดบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีการหยุดจ่ายก๊าซ 2. หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจะประสานซื้อไฟฟ้าจากมาเลเซียผ่านระบบส่งกระแสตรงแรงดันสูง (High Voltage Direct Current Transmission System : HVDC) และระบบส่งกระแสสลับแรงดันสูง (High Voltage Alternating Current Transmission System : HVAC) 3. เตรียมโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซสุราษฎร์ธานี (Emergency Standby) ให้พร้อมเดินเครื่องตลอดช่วงเวลา

“กฟผ. ได้เตรียมทีมงานติดตามสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด พร้อมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที โดยคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของภาคใต้ในช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติไว้ที่ 2,550 เมกะวัตต์ ขณะที่ความพร้อมด้านกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าภาคใต้มีประมาณ 2,936 เมกะวัตต์ รวมการส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงจากภาคกลาง (Tie Line) อีก 650 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว คาดว่าสถานการณ์ไฟฟ้าภาคใต้ในช่วง 5 วัน จะผ่านพ้นไปด้วยดี ประชาชนมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด เพื่อเสริมความมั่นคงในระบบไฟฟ้าอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.sothailand.com” นายจรรยง วงศ์จันทร์พงษ์ กล่าวในที่สุด

5.JPG2.jpg3.JPG4.JPG6.JPG7.JPG8.JPG9.JPG10.jpg