ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนกุมภาพันธ์ 2568
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความ
เชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง


ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนกุมภาพันธ์ (44.50) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม 2568 (44.30) และเดือนธันวาคม 2567 (44.10) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน การลดลงของหนี้สิน การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ การลดลงของหนี้สิน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจัยบวกที่สำคัญ คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิ โครงการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ที่ทำให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบศรษฐกิจมากขึ้น อีกทั้งโครงการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับผู้สูงอายุที่ผ่านเกณฑ์ วงเงินที่แจกถึงปัจจุบันประมาณ 28,250 ล้านบาท ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินสามารถนำเงินไปใช้ในสิ่งต่าง ๆ ตามความต้องการของแต่ละบุคคล อาทิ ซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว ใช้จ่ายในการท่องเที่ยว นำไปใช้หนี้ และเก็บเงินออมไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงิน แม้ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ก็จะได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับเงินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยปัจจุบันประชาชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเงิน “รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย” มีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชลดลง หนี้สินครัวเรือนสูงกว่า 90% ของ GDP และประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ทำให้หนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ว่าเงินเฟ้อของประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาไม่เกิน 2% และในปี พ.ศ. 2567 เงินเฟ้อเพียง 0.4% ทั้งนี้เพราะดัชนีที่นำมาคำนวณเงินเฟ้อนั้นจำนวนไม่น้อยเป็นสินค้าราคาถูกที่นำเข้าจากประเทศจีน อาทิ สินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า กระเป๋า และของตกแต่งบ้าน เป็นต้น แต่ประชาชนรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงขึ้นมาก เป็นเพราะสินค้าในหมวดพลังงาน อาทิ น้ำมัน แก๊ส ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 23% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ดัชนีราคาสินค้าและบริการที่จำเป็นมีการเพิ่มขึ้น 8% และดัชนีราคาอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 12-20% ขึ้นอยู่กับความเจริญทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง เพราะการใช้จ่ายของประชาชนกับค่าอาหาร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักที่ประชาชนจะต้องใช้จ่ายในทุกวัน และใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หากราคาค่าอาหารสูงขึ้น เช่น เดิมราคาอาหาร 50 บาทต่อจาน หากปรับขึ้นราคาเป็น 60 บาทต่อจาน หมายถึงราคาค่าอาหารเพิ่มสูงขึ้น 20% ในขณะที่รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่จะเพิ่มสูงขึ้นไม่เกิน 10% ต่อปี ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย แม้เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% ก็ตาม ดังนั้นรัฐบาลควรหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
จากการสัมภาษณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในสิ่งที่ประชาชนคาดหวังและต้องการเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยประชาชนและนักวิชาการในหลากหลายสาขาอาชีพได้เสนอแนะต่อรัฐบาล ดังนี้
1. เสนอแนะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
1) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น โครงการ "คนละครึ่ง" หรือ "เราชนะ" ลดภาษีสินค้าและบริการบางประเภทเพื่อกระตุ้นการบริโภค สนับสนุนการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทย เช่น โครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" เป็นต้น
2) มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เช่น มาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเดินทาง เป็นต้น
3) มาตรการกระตุ้นการลงทุน เช่น ลดภาษีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการ เป็นต้น
4) มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน เช่น สนับสนุนเงินอุดหนุนให้บริษัทจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น และส่งเสริมโครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงาน
5) มาตรการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เช่น ส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับธุรกิจชุมชน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นอกเมืองเพื่อกระจายความเจริญไปยังท้องถิ่น
6) มาตรการด้านภาษีและเงินอุดหนุน เช่น ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง สนับสนุนเงินอุดหนุนให้ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุในความดูแล เป็นต้น
2. เสนอแนะมาตรการลดรายจ่ายให้กับประชาชน ดังนี้
1) ลดค่าครองชีพพื้นฐาน อาทิ ควบคุมราคาสินค้าและบริการที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำมัน ค่าขนส่ง ค่ายา และปรับลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหารสด ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และก๊าซหุงต้ม
2) ปฏิรูปภาคการขนส่งและพลังงาน อาทิ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีคุณภาพและราคาถูกโดยเฉพาะในตัวเมืองของแต่ละจังหวัด เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยการสนับสนุนพลังงานสะอาดและทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ โดยให้มีการกำกับดูแลราคาน้ำมันและพลังงานอย่างโปร่งใส ป้องกันการผูกขาด และควบคุมต้นทุนของพลังงาน
3) ส่งเสริมที่อยู่อาศัย เช่น โครงการบ้านราคาถูกและบ้านเช่าราคาประหยัด สำหรับผู้มีรายได้น้อย ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนสามารถมีบ้านเป็นของตัวเอง
4) สนับสนุนระบบสวัสดิการด้านการศึกษาแบบทั่วหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถศึกษาได้ถึงระดับปริญญาตรี
3. ปฏิรูปประกันสังคม ดังนี้
1) การให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระภายใต้กำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน แต่ต้องไม่บริหารด้วยระบบราชการ เพื่อให้มีความคล่องตัวในการบริหารกองทุน และจัดการกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมืออาชีพเข้ามาบริหารกองทุนเพื่อให้ได้ผลกำไรเพิ่มขึ้น
2) ปรับปรุงระบบบริหารกองทุนให้มีความโปร่งใสและเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน โดยให้ผู้ประกันตนมีสิทธิออกเสียง และมีตัวแทนในคณะกรรมการบริหารกองทุนประกันสังคม เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการบริหารงานที่ผิดพลาด และการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ รวมถึงตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยของประกันสังคม
3) ปรับสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนให้ดีกว่าบัตรทอง โดยเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายให้กับประกันสังคมควรเป็นสิทธิประโยชน์ Top Up ให้กับผู้ประกันตน โดยเฉพาะสิทธิการทำฟัน ทั้งนี้เมื่อเพิ่มสิทธิการทำฟัน ก็ควรควบคุมการขึ้นราคาทำฟันของคลีนิกทันตกรรมด้วย
4) เพิ่มเงินบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ทั้งนี้ หากเงินค่ารักษาพยาบาลของประกันสังคมจำนวน 70,000 ล้านบาท หากไม่สามารถนำไป Top Up เพื่อเพิ่มสิทธิรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนได้ ก็ให้นำไปเพิ่มให้กับเงินบำนาญชราภาพแก่ผู้ประกันตน
ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 32.50 และ 38.60 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 32.40 และ 26.30 ตามลำดับ ในขณะที่ความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 29.40, 32.80 และ 39.70 ตามลำดับ