​หาดใหญ่โพล ชี้ประชาชนมีความพร้อมรับการเปิดเมือง-เปิดธุรกิจของจังหวัดสงขลา


18 พ.ค. 2563

รองศาสตราจารย์ทัศนีย์ ประธาน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผยผลการสำรวจ “หาดใหญ่โพล” ในเรื่อง “ความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดสงขลาต่อการเปิดเมือง-เปิดธุรกิจ” โดยการเก็บแบบสำรวจออนไลน์ จำนวน 480 คน ระหว่างวันที่ 13-14 พฤษภาคม 2563 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

สรุปผลการสำรวจ ความมั่นใจของประชาชนและความคิดเห็นต่อการเปิดเมือง-เปิดธุรกิจในจังหวัดสงขลา

ความมั่นใจความพร้อมในการเปิดให้บริการของสถานประกอบการในจังหวัดสงขลาพบว่า ประชาชนชาวสงขลาร้อยละ 46.88 มีความมั่นใจต่อความพร้อมในการเปิดให้บริการของสถานประกอบการในจังหวัดสงขลาในระดับปานกลาง และร้อยละ 26.67 มีความมั่นใจต่อความพร้อมในการเปิดให้บริการของสถานประกอบการในจังหวัดสงขลาในระดับมากถึงมากที่สุด และร้อยละ 26.46 ที่ไม่มีความมั่นใจต่อความพร้อมในการเปิดให้บริการ ส่วนประเภทของสถานประกอบการที่ควรเปิดให้บริการโดยเร็วที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ ร้านอาหาร (ร้อยละ 76.83) รองลงมา ร้านค้าปลีกทั่วไป เช่น ร้านขายเสื้อผ้า ร้านหนังสือ(ร้อยละ 48.43)และสถานศึกษา(ร้อยละ 43.63)

นอกจากนี้ยังให้ข้อเสนอแนะในมาตรการที่จะทำให้เกิดความมั่นใจในการเปิดเมืองและเปิดธุรกิจในจังหวัดสงขลา พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 73.96ต้องการให้สถานประกอบการมีการทำความสะอาด ฆ่าเชื้ออุปกรณ์และสถานที่ให้บริการอยู่ทุกวัน จะทำให้เกิดความมั่นใจมาก รองลงมา เป็นสถานประกอบการมีมาตรการในการจัดระยะห่างทางสังคมในการให้บริการได้ และมีบทลงโทษหรือสั่งปิดสถานประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยเบื้องต้นของรัฐ เช่น พนักงานไม่สวมหน้ากากหรือFace Shield คิดเป็นร้อยละ68.75 และ 59.17 ตามลำดับ สำหรับความคิดเห็นของประชาชนว่าควรเปิดเมือง-เปิดธุรกิจเมื่อไรนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ41.67เห็นว่าควรจะเปิดเมืองสงขลา -เปิดธุรกิจ เมื่อมีระบบและมาตรการดูแลประชาชนและสถานประกอบการอย่างชัดเจนในการก่อนเปิดให้บริการรองลงมาเปิดเมื่อไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดในจังหวัดสงขลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 14 วันและเปิดเมื่อประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 14 วันคิดเป็นร้อยละ17.92 และ 16.88ตามลำดับมีเพียงร้อยละ 11.46 ที่เห็นว่าสามารถเปิดเมืองได้ทันที

สำหรับข้อเสนอต่อจังหวัดสงขลาเกี่ยวกับมาตรการจัดการสถานการณ์การระบาดโควิด-19ของชาวจังหวัดสงขลาให้ข้อเสนอแนะดังนี้ ร้อยละ 90.00 เห็นว่าควรมีระบบการตรวจคัดกรองและกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศผ่านด่านชายแดนให้รัดกุมมากที่สุด รองลงมา คือ มีแผนฟื้นฟูเมืองและธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงอย่างเป็นรูปธรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ดูแลมิให้มีคนข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 61.46 และ 60.83 ตามลำดับ

ในด้านขนส่งสาธารณะชาวสงขลาส่วนใหญ่ร้อยละ 79.38 เห็นว่าควรควรมีมาตรการเกี่ยวกับการให้บริการขนส่งสาธารณะทำความสะอาดรถและฆ่าเชื้อในรถทุกครั้ง/ทุกเที่ยว มากที่สุด รองลงมา กำหนดมาตรฐานจำนวนผู้โดยสารที่เหมาะกับขนาดของรถที่ไม่เกิดความเสี่ยงโดยไม่ขึ้นราคาและมีการบันทึกข้อมูลผู้โดยสารเท่าที่จำเป็น เพื่อสามารถติดตามผู้มีความเสี่ยงย้อนหลังได้ คิดเป็นร้อยละ 76.67 และ 51.04 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังให้ข้อคิดเห็นที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของภาครัฐ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 84.16เห็นด้วยที่ภาครัฐจะบังคับให้ประชาชนติดตั้งแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ เช่นAppหมอชนะ เพื่อให้มีข้อมูลของคนที่เข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยร้อยละ 61.04 มีเงื่อนไขว่าภาครัฐจะไม่นำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางที่ผิดมีเพียงร้อยละ 15.84 ไม่เห็นด้วยที่ภาครัฐจะบังคับให้ประชาชนติดตั้งแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์


มุมมองชีวิตของประชาชนหลังสถานการณ์โควิด-19

ชาวสงขลาร้อยละ 46.46 เห็นว่าเมื่อเหตุการณ์โควิด-19 คลี่คลายจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ร้อยละ 20.21 ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต และร้อยละ 33.33 ยังไม่แน่ใจ ส่วนของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ 63.36 เห็นว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้สอดรับกับวิกฤตโควิด-19มีเพียงร้อยละ 15.07 ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงธุรกิจหลังเหตุการณ์โควิด-19 และร้อยละ 21.57 ยังไม่แน่ใจ นอกจากนี้สิ่งที่ชาวสงขลาต้องการทำเป็นอันดับแรกหลังเหตุการณ์โควิด-19 พบว่า ร้อยละ 52.29 ต้องการใช้ชีวิตตามปกติ มากที่สุด รองลงมา เป็นการตรวจสุขภาพ นัดพบญาติหรือเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบกันนานเดินทาง-ท่องเที่ยวต่างจังหวัด และท่องเที่ยวภายในจังหวัดสงขลา คิดเป็นร้อยละ 12.08 9.17 8.75 และ 7.29 ตามลำดับ

สำหรับมุมมองของประชาชนในด้านข้อดีของเหตุการณ์โควิด-19 คนสงขลาส่วนใหญ่ได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของภาคส่วนต่างๆ มากขึ้นในเหตุการณ์โควิด-19 มากที่สุด (ร้อยละ 55.20) รองลงมา ลดการใช้พลังงานและทรัพยากร ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง เช่น เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และได้มีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 53.34 52.29 และ 50.63 ตามลำดับ