กฟผ.ชี้แจงค่าเอฟทีปี 58 ลดลงต่อเนื่องตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง
ตามที่มีการเผยแพร่ความคิดเห็นผ่านทาง Social Media ต่างๆ ว่า กฟผ. ขึ้นค่าไฟฟ้าเอฟทีในปี 2558 โดยอ้างเหตุผลว่า มีความจำเป็นเนื่องจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย และรายได้จากค่าเอฟทีได้สร้างกำไรให้ กฟผ. มากขึ้นนั้น ฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขอเรียนชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อน โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้
ประการแรก ในปี 2558 มิได้มีการปรับขึ้นค่าเอฟที (Ft) หรือค่าไฟฟ้าผันแปร แต่อย่างใด โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ปรับลดค่าเอฟทีอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 งวด รวมลดลง 22.62 สตางค์ต่อหน่วย ได้แก่ งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2558 ลดลง 10.04 สตางค์ต่อหน่วย งวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2558 ลดลง 9.35 สตางค์ต่อหน่วย และงวดกันยายน – ธันวาคม 2558 ลดลง 3.23 สตางค์ต่อหน่วย และในงวดเดือนมกราคม - เมษายน 2559 กกพ. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดค่าเอฟทีลงอีก 1.57 สตางค์ต่อหน่วย
ประการที่ 2 การกำหนดค่าเอฟทีดังกล่าว ไม่ทำให้ กฟผ. มีกำไรจากการดำเนินการเพิ่มหรือลดลง เนื่องจากเป็นการปรับเพิ่มหรือลดตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริง ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ กฟผ. ตามกลไกสูตรการปรับค่าเอฟทีอัตโนมัติที่ต้องการให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดย กกพ. ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ และผู้บริโภค ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าพลังงานและค่าบริการ เพื่อพิจารณากำหนดค่าเอฟทีทุกๆ 4 เดือน
กฟผ. ขอเรียนเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่มีผลต่อค่าเอฟที ประกอบด้วย ค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้า (ที่เปลี่ยนแปลงไปจากค่าไฟฟ้าฐาน) และผลกระทบจากนโยบายของรัฐ เช่น การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน
การเปลี่ยนแปลง ค่า Ft = การเปลี่ยนแปลง(ค่าเชื้อเพลิง + ค่าซื้อไฟฟ้า + ผลกระทบจากนโยบายรัฐ)
ค่าเชื้อเพลิง เช่น ก๊าซธรรมชาติ มีสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันราวร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม การลดลงหรือเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซจะน้อยกว่าราคาน้ำมัน เนื่องจากราคาก๊าซภายในประเทศผูกกับราคาน้ำมันในตลาดโลกประมาณร้อยละ 30-40 ดังนั้นราคาน้ำมันที่ลดลงในปี 2558 ร้อยละ 61 จึงส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ลดลงร้อยละ 19 นอกจากนี้ราคาก๊าซจะเปลี่ยนแปลงตามหลังราคาน้ำมันอย่างน้อย 6 เดือน (ระยะเวลาตั้งแต่ 6-18 เดือน เนื่องจากสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติมีหลายสัญญา)
ค่าซื้อไฟฟ้า จากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่(IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ซึ่งปรับขึ้นลงตามราคาเชื้อเพลิงเช่นกัน
ผลกระทบจากนโยบายรัฐ รัฐให้การอุดหนุนราคาค่าซื้อไฟฟ้าส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder, FiT- Feed-in Tariff) จากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงแดด ลม ชีวมวล โดยค่าไฟฟ้าซึ่งเกิดจากการอุดหนุนพลังงานหมุนเวียนในปี 2558 คิดเป็น 18.6 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 7.3 สตางค์ต่อหน่วย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณพลังงานหมุนเวียนที่รับซื้อมากขึ้น
สำหรับ อัตราแลกเปลี่ยน มีผลกระทบต่อค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อกระแสไฟฟ้าด้วย โดยค่าเงินบาทที่อ่อนลง จะมีผลต่อค่าเชื้อเพลิง และส่งผลต่อค่าเอฟที เพิ่มขึ้น ในทำนองเดียวกัน ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมีผลให้ค่าเอฟทีลดลงเช่นกัน
ดังนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงในปัจจุบัน จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าเอฟทีในปี 2558 ลดลงต่อเนื่องตามลำดับ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อัตราแลกเปลี่ยน และการอุดหนุนพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นต้น
กฟผ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าว จะช่วยสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานของ กฟผ. ยิ่งขึ้น และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีในสังคมต่อไป