สคร.12 สงขลา เชิญชวนผู้หญิงไทยอายุ 11 - 20 ปี ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV)
นายแพทย์เฉลิมพล โอสถพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา กล่าวถึงสถานการณ์โรคมะเร็งปากมดลูก จากคลังข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center) ประเทศไทยมีผู้ป่วย ขึ้นทะเบียนรักษา พ.ศ.2564 จำนวน 12,196 ราย, 2565 จำนวน 12,956 ราย และ 1 ม.ค.-18 ต.ค. 2566 จำนวน 13,439 ราย สำหรับเขตสุขภาพที่ 12 มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนรักษา 984 ราย, 946 ราย และ 940 ราย ตามลำดับ จังหวัดที่มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนรักษาสูง 3 ลำดับแรกในปี 2566 (1 ม.ค.-18 ต.ค.) ได้แก่จังหวัดสงขลา 560 ราย พัทลุง 345 ราย และ ยะลา 19 ราย
โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบในผู้หญิงไทยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus : HPV ผ่านการสัมผัสโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ สายพันธุ์ที่พบบ่อย คือ สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ที่เป็นต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูกมากถึง 70% ซึ่งปัจจุบันนี้ป้องกันได้ด้วยวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือ เอชพีวี ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งวัคซีนเอชพีวี สามารถป้องกันได้ดีหากฉีดตั้งแต่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ จะมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 90% ส่งผลให้ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปากมดลูกในหญิงสาว อีก 10 - 20 ปีข้างหน้าได้ โดยคำแนะนำจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แนะนำให้หญิงไทย อายุ 11 - 20 ปี ฉีดวัคซีนเอชพีวี จำนวน 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายมะเร็งครบวงจร ฉีดวัคซีนเอชพีวี 1 ล้านโดส ภายใน 100 วัน ให้กับผู้หญิงไทยอายุ 11-20 ปี โดยบริการเชิงรุกฉีดวัคซีน ผ่านระบบโรงเรียน เด็ก ป.5 - ม.6 (11-17 ปี) ระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2566 ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา (18-20 ปี) ระหว่างวันที่ 1-30 ธันวาคม 2566 และนอกระบบโรงเรียน ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ณ สถานพยาบาลใกล้บ้านท่าน โดยในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 เวลา 08.30 – 12.00 น. โรงพยาบาลหาดใหญ่ ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอหาดใหญ่ จัดกิจกรรม Kick Off HPV Vaccine ให้บริการฉีดวัคซีนเอชพีวีแก่นักศึกษาหญิงชั้นปีที่ 1-2 ของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ พร้อมให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งปากมดูลก ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยหาดใหญ่
การฉีดวัคซีนเอชพีวี นอกจากป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้ว ในเพศหญิงยังสามารถป้องกันมะเร็งของอวัยวะอื่นได้อีก ได้แก่ มะเร็งปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ทวารหนัก ช่องปาก และคอหอย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422