ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือนมิถุนายน 2563
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้ เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง
ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม พบว่า ในเดือนมิถุนายนดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเพิ่มเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม และเมษายน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมยังต่ำกว่าทั้ง 3 เดือน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนเดือนมิถุนายนปรับตัวเพิ่มขึ้นแทบทุกด้าน ยกเว้นด้านเดียว คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่น คือ การผ่อนคลายล็อกดาวน์ ระยะที่ 4 และยกเลิกเคอร์ฟิว ทำให้กิจการหลายประเภทสามารถดำเนินงานได้ อีกทั้ง มาตรการจากภาครัฐในการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถเข้าถึงประชาชนโดยส่วนใหญ่แล้ว
จากผลการสำรวจ พบว่า คนไทยในประเทศไม่มีการติดเชื้อเพิ่มเป็นระยะเวลาติดต่อกันกว่า 28 วัน ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างปลอดภัย ซึ่งได้รับคำชมจากนานาประเทศในเรื่องการบริหารจัดการและควบคุมโควิด-19 ได้ดีมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าการันตีว่า ในขณะนี้คนไทยในประเทศไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ทั้งนี้เพราะจากข่าวการพบเชื้อโควิด-19 ในระลอกที่ 2 ในหลายประเทศ พบว่า ติดจากผู้ที่มีเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีภูมิคุ้มกันที่ดี ถึงแม้ได้รับเชื้อมาก็สามารถมีภูมิคุ้มกันไม่ให้อาการของโรคแสดงออกมาได้ แต่บุคคลเหล่านี้สามารถเป็นพาหะที่จะกระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ศบค. เห็นชอบคลายล็อกดาวน์ ระยะที่ 5 อนุญาตให้กิจการที่มีความเสี่ยงสูงกลับมาเปิดให้บริการ อาทิ ผับ บาร์ คาราโอเกะ และอาบอบนวด อีกทั้ง อนุญาตให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเปิดเรียนของโรงเรียนทั้งหมดทั่วประเทศ ทั้งนี้ ศบค. ได้กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในระลอกที่ 2 ของหลายประเทศ สาเหตุเกิดมาจากการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของกิจการในหลายประเภทขาดการป้องกันที่ดี ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด-19 จากผู้ที่ไม่มีอาการ ดังนั้น ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ นับว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะเกิดการระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 2 ของประเทศไทยหรือไม่ และหากเกิดขึ้น ภาครัฐจะมีมาตรการรองรับไว้อย่างไรบ้าง
จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ มีดังนี้
1. จากมาตรการของภาครัฐและเอกชนที่ช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สามารถบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้มาก ซึ่งช่วงเวลาหลังจากการระบาดของโรคลดลงแล้ว ประชาชนอยากเห็นมาตรการหรือนโยบายการช่วยเหลือและเยียวยาในระยะกลางและระยะยาวต่อจากนี้ ที่ทำให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่นใช้ชีวิตอย่างปกติและจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้น
2. โครงการงบฟื้นฟูแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาทในยุคโควิด-19 นั้น มีหน่วยงานต่าง ๆ ได้ยื่นของงบประมาณ 46,411โครงการ รวมงบประมาณที่ขอทั้งสิ้น 1,448,474 ล้านบาท ทะลุกรอบเงินกู้กว่า 1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนเสนอให้พิจารณาเฉพาะโครงการ ดังนี้
2.1 โครงการไม่เสี่ยงต่อการทุจริต ไม่สามารถยักยอกได้
2.2 โครงการที่มีผลลัพธ์ในเชิงรูปธรรม มีตัวชี้วัดที่แน่นอน
2.3 โครงการที่สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่
2.4 โครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานในชุมชน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนให้ดีขึ้น
2.5 โครงการที่ไม่ผ่านนายทุน ผู้รับเหมา และคนกลาง ที่หวังตักตวงผลประโยชน์
2.6 โครงการที่อนุมัติและโอนเงินเข้าบัญชีให้ถึงมือประชาชน กลุ่มชุมชนต่าง ๆ โดยไม่ผ่านหน่วยงานต่าง ๆ
2.7 โครงการที่มุ่งเน้นการขาย การตลาดให้กับสินค้าและบริการของชุมชน
2.8 โครงการที่ใช้เวลาระยะสั้น 1-3 เดือน หรือไม่เกิน 6 เดือน สามารถเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ หน่วยงานพิจารณาอนุมัติโครงการควรระมัดระวังสำหรับหลายโครงการที่มีการเขียนเพื่อนำเสนอได้เป็นอย่างดี โดยเขียนให้เห็นภาพความสำเร็จไว้สวยหรู แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นไปตามที่เขียนไว้ในโครงการ หรืออาจจะเป็นโครงการเดิมที่เคยทำไว้แล้ว และมาทำเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย แต่ของบประมาณจำนวนมาก นอกจากนี้ ควรเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียน หากพบโครงการที่ไม่โปร่งใส และควรจัดตั้งหน่วยงานเพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสการดำเนินงาน และผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งหมด
3. การอนุญาตให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ อาทิ กลุ่มแรงงานฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ คนต่างด้าวที่เป็นครอบครัวของคนไทย กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน ทั้งนี้ อาจมีความสุ่มเสี่ยงที่กลุ่มชาวต่างชาติเหล่านี้จะเข้ามาพร้อมเชื้อโควิด-19 เพราะไม่ใช้มาตรการตรวจสอบอย่างเข้มข้น เช่น การกักตัวไว้ 14 วัน เป็นต้น รวมถึงควรเฝ้าระวังการเข้ามาของชาวต่างชาติบริเวณตะเข็บชายแดนตามช่องทางธรรมชาติ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ไม่ต้องการถูกกักตัว และหากกลุ่มเหล่านี้สามารถลักลอบเข้ามาได้ อาจนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาแพร่เชื้อได้สูง
4. การกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทยในวันธรรมดาตั้งแต่วันจันทร์ ถึง วันพฤหัส เนื่องจากในวันธรรมดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวจำนวนน้อย ดังนั้นประชาชนจึงเสนอให้ภาครัฐจัดโปรโมชั่นสำหรับการท่องเที่ยววันธรรมดา เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และเป็นการกระจายจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้ไปเที่ยวกระจุกกันเฉพาะวันหยุด
5. ผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดน้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งต้องปิดกิจการ เนื่องจากไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนไว้ได้ ทำให้มีคนตกงานจำนวนมาก ประกอบกับในช่วงเดือนกรกฎาคมมีผู้ที่จบการศึกษาพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานจำนวนมากกว่า 500,000 คน ทำให้เกิดการแข่งขันกันสูงในการเข้าทำงานในองค์กรต่าง ๆ และส่งผลให้นักศึกษาจำนวนมากว่างงงาน จึงมีผู้เสนอให้ภาครัฐกำหนดโครงการเพื่อให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น และควรมีข้อเสนอให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ และให้นักศึกษาจบใหม่และผู้ที่ตกงานได้มีงานทำ
8. ประชาชนส่วนหนึ่งมีมุมมองว่า หากตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ควรเปิดประเทศแบบเต็มตัว เพราะมองว่าหากเปิดประเทศเต็มตัว การแพร่เชื้อโควิด-19 ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนหนักกว่าระลอกแรก เนื่องจากภาครัฐอาจจะไม่สามารถหาเงินจำนวนมากมาช่วยเยียวยาได้เหมือนครั้งแรก อีกทั้ง ภาพลักษณ์ที่นานาประเทศมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการและควบคุมโควิด-19 ได้ดี ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยากเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย และนักลงทุนต่างชาติก็อยากเข้ามาลงทุนประเทศไทย ต้องเปลี่ยนไป
10. ประชาชนเสนอให้ภาครัฐกำหนดมาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตของประชาชน อาทิ การนั่งรถโดยสารสาธารณะ ภาครัฐกำหนดให้นั่งห่างกัน โดยเว้นหนึ่งที่นั่ง เพื่อให้ไม่นั่งติดกัน แต่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติ พบว่า ผู้โดยสารนั่งห่างกันโดยเว้นที่ว่าง 1 ที่นั่งตามมาตรการของภาครัฐ แต่ยืนติดกันจำนวนมาก
11. ในการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคมในการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีความผิดพลาด และล่าช้ามาก ประชาชนผู้ประกันตนส่วนหนึ่งเสนอให้ภาครัฐปรับโครงสร้างการทำงานของสำนักงานประกันสังคม โดยเสนอให้การทำงานของสำนักงานประกันสังคมควรเป็นการทำงานเชิงรุก ไม่ใช่เชิงรับเหมือนที่ผ่านมา
12. กระแส New Normal เป็นการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ชีวิตปกติวีถีใหม่ ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งอยากเห็นการเมืองวิถีใหม่ และขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาผู้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีทุกคน ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นอันดับแรก และการเข้ามารับตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถตรงกับกระทรวงนั้น และเสนอให้รัฐมนตรีทุกท่านแถลงผลงานที่เป็นรูปธรรมในทุก ๆ 3 เดือนให้ประชาชนรับทราบ
13. จากข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ออกอาการ และบุคคลเหล่านี้อาจจะนำเชื้อไปแพร่ให้กับผู้อื่นได้ ประชาชนจึงเสนอให้ภาครัฐมีการสุ่มตรวจประชาชนแบบเชิงรุกในทุก ๆ วัน โดยเข้าไปตรวจกับกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ในกลุ่มคนที่เข้าไปเที่ยวในสถานบันเทิงต่าง ๆ และสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก
14. ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดรายได้ แต่มีรายจ่ายที่ต้องจ่ายเท่าเดิม มีประชาชนที่ถูกยึดรถยนต์ และรถตู้จำนวนไม่น้อย อีกทั้ง ประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถกู้เงินธนาคารได้ หรือกู้ได้แต่ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ประชาชนกลุ่มเหล่านี้หันไปใช้บริการเงินกู้นอกระบบจำนวนมาก ซึ่งเงินกู้นอกระบบส่วนใหญ่มีดอกเบี้ยสูงมาก ประชาชนจึงเสนอให้ภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ ให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน
15. ประชาชนผู้มีรายได้น้อย และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ยังต้องการความช่วยเหลือในเรื่อง อาหาร และของใช้ที่จำเป็น จึงเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนจัดตั้งโรงทานในชุมชน และตู้ปันสุข เพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ได้มีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไว้ยังชีพ
ขณะที่ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 24.10 และ 27.20 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 28.00 และ 26.30 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 28.20 22.20 และ 20.90 ตามลำดับ
ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 25.70 รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ คิดเป็นร้อยละ 24.20 และ 12.50 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพ รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง ตามลำดับ