กลยุทธ์การเทรดรายวันสำหรับผู้เริ่มต้นเป็นเดย์ เทรดเดอร์
กลยุทธ์การเทรดรายวันสำหรับผู้เริ่มต้นเป็นเดย์ เทรดเดอร์
ปัจจุบันมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่เดินสายเป็นเดย์ เทรดเดอร์ (Day Trader) หรือนักเทรดหุ้นแบบรายวัน สาเหตุที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมหันมาเป็นเดย์ เทรดเดอร์ ส่วนมากมักมาจากเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ
- ต้องการหาโอกาสในทุกภาวะตลาด ซึ่งส่วนมากก็จะใช้หลักการทั่วไปในการเข้าซื้อคือ ถ้าราคาลง ก็ช้อนซื้อ และรอทำกำไรตอนขาขึ้น ถ้าราคาขึ้น ก็ขายทิ้ง เพื่อทำกำไรส่วนต่าง
- มีแนวคิดว่า การทำกำไรจากราคา จะเร็วกว่า และมากกว่าเงินปันผล เช่น ถ้าถือหุ้นและรอรับปันผลตามเงื่อนไข อย่างมากรอบปันผลอาจจะอยู่ที่ 4 ครั้งต่อปี ในขณะที่ถ้าเก็งกำไร อาจทำกำไรส่วนนี้ได้ภายในไม่กี่วัน
ซึ่งการจะเป็นเดย์ เทรดเดอร์ที่สามารถทำกำไรได้และเสี่ยงขาดทุนให้น้อยที่สุดได้นั้น จะต้องมีเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์สภาวะตลาดและหุ้นเป้าหมาย หากเป็นเดย์ เทรดเดอร์รุ่นเก๋าที่มากด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ก็อาจจะสามารถทำกำไรตามเป้าหมายได้บ้าง แต่หากเป็นเดย์ เทรดเดอร์ที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าวงการ อาจจะพบกับอุปสรรคในการทำกำไรอยู่บ้าง เพราะชั่วโมงบินและความเชี่ยวชาญอาจจะยังไม่มากพอ
ดังนั้น การศึกษากลยุทธ์หรือแนวทางในการเทรด รวมทั้งเครื่องมือที่ช่วยในการซื้อขายออนไลน์ จะช่วยติดปีกให้กับเดย์ เทรดเดอร์หน้าใหม่ในการเพิ่มโอกาสทำกำไรให้มากขึ้นได้ สำหรับกลยุทธ์และหลักการเทรดรายวัน จริง ๆ แล้ว มีหลัก ๆ อยู่ 3 ประการ คือ (1) การใช้ indicator (2) เทคนิคการลงทุน (3) วินัย ซึ่งทั้ง 3 ประการ มีรายละเอียดดังนี้
การใช้ indicator
ปัจจุบัน indicator หรือดัชนีวัด ได้มีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งดัชนีตัวหลัก ๆ ที่เทรดเดอร์มักจะใช้ในการวิเคราะห์หุ้นและสภาวะตลาด มีหลัก ๆ อยู่ด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่
1. ดัชนีชี้วัดทิศทางแนวโน้ม (Trend Following Indicators)
ดัชนีประเภทนี้จะช่วยให้เดย เทรดเดอร์เข้าใจแนวโน้มการเคลื่อนไหวของหุ้นตัวที่มีความสนใจ และยังสามารถใช้ทดสอบตลาดช่วงนั้น ๆ ได้ด้วย ว่าตลาดกำลังอยู่ในสภาวะแบบไหน ดัชนีตัวนี้จะใช้ค่อนข้างง่าย เพราะเป็นการประเมินภาพรวมของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น MACD, Moving Average, SAR เป็นต้น
2. ดัชนีชี้วัดที่คำนวณแรงเหวี่ยงของราคา (Momentum Indicators)
เทรดเดอร์มักจะนำดัชนีตัวนี้มาใช้ในการวัดและพิจารณาระหว่างราคาล่าสุดกับราคาก่อนหน้า ซึ่งระยะห่างระหว่างจะมีค่าอยู่ที่ 0 ถึง 100 โดยดัชนีตัวนี้จะนำเสนอสัญญาณของโซนที่มีการซื้อเป็นจำนวนมาก หรือที่เรียกกันว่า Overbought ที่จะมีผลทำให้เกิดแรงขายกลับคืนมา และนำเสนอสัญญาณของโซนที่มีการขายเป็นจำนวนมาก หรือ Oversold ที่จะมีผลทำให้เกิดแรงซื้อกลับคืนมา เครื่องมือที่จัดอยู่ในดัชนีประเภทนี้ได้แก่ RSI, CCI และ Stochastics เป็นต้น ดังนั้น ถ้าค่าของแรงเหวี่ยงมีค่าต่ำกว่า 100 จะเป็นสัญญาณของทิศทางราคาต่ำลง เนื่องจากแท่งเทียนปิดราคาล่าสุดต่ำกว่าในอดีต ในทางตรงกันข้าม ถ้าค่าของแรงเหวี่ยงมีค่าสูงกว่า 100 จะเป็นสัญญาณของทิศทางราคาสูงขึ้น สาเหตุเพราะแท่งเทียนปิดราคาล่าสุดสูงกว่าในอดีตนั่นเอง
3. ดัชนีชี้วัดความผันผวนของราคา (Volatility Indicators)
เทรดเดอร์มักจะใช้ดัชนีตัวนี้ในการวัดความผันผวนหรือการขึ้นลงของราคา เพื่อหาโอกาสและจังหวะในการทำการซื้อขาย หรือเรียกว่าใช้เป็นช่องทางในการหาโอกาสทำกำไรนั่นเอง เครื่องมือที่นิยมใช้สำหรับดัชนีประเภทนี้ ได้แก่ ATR, Bollinger Bands และ Historical Volatility
การใช้ indicator สำหรับเดย เทรดดิ้ง จัดว่ามีข้อดีหลายประการ คือ
- เป็นการสร้างจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเทรด เนื่องจากเครื่องมือ indicator เหล่านี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยในการคาดคะเนราคาและสภาวะตลาด ดังนั้น การที่เดย เทรดเดอร์เลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากขึ้น แต่จำเป็นที่จะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมและฝึกฝนจนมีความชำนาญ จึงจะใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยสร้างแนวทางในการเทรดและเพิ่มความเข้าใจในสภาวะตลาด จริง ๆ แล้ว indicator ประเภทต่าง ๆ ต่างก็มีคาแรกเตอร์ จุดเด่น และลักษณะเฉพาะ ตามหน้าที่ของตนเอง ซึ่งจะช่วยเอื้อต่อการสร้างแนวทางในการเทรดของเทรดเดอร์ได้ รวมทั้งยังช่วยให้สามารถอ่านสภาวะตลาดได้อีกด้วย ดังนั้น indicator เหล่านี้จึงเหมาะกับเดย เทรดเดอร์หน้าใหม่อย่างยิ่ง เพราะจะช่วยในการสั่งสมประสบการณ์การเทรดให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกลยุทธ์การเทรด เนื่องจาก indicator ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเทรดเพื่อสร้างกำไร ดังนั้นการนำ indicator มาใช้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหาช่องทางทำกำไรภายใต้ความผันผวนของตลาดในสภาวะต่าง ๆ ได้ ดังนั้น การที่เทรดเดอร์นำ indicator แต่ละตัวมาใช้ร่วมกัน และพัฒนาแบบแผนกลยุทธ์ของตนเองขึ้นมา จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มกำไรได้จากการคาดเดาที่แม่นยำขึ้น
- ตอบโจทย์สภาวะตลาดที่หลากหลาย ในวันหนึ่ง ๆ เทรดเดอร์ หรือเดย์ เทรดเดอร์ จะต้องพบเจอสภาวะตลาดหลายรูปแบบ ซึ่ง indicator แต่ละตัวก็จะช่วยในการคาดคะเนตลาดในลักษณะการเทรดที่แตกต่างกันได้ เพื่อให้เทรดเดอร์เพิ่มโอกาสในการหาจุดทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ต้องการทำกำไรระยะยาว ควรใช้ indicator ประเภท trend-following indicators ที่เป็น moving average แต่ถ้าต้องการเกร็งกำไรในระยะสั้น ก็ควรเลือกใช้ volatility indicators เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การใช้ indicator ก็มีข้อจำกัดบางประการในการเทรดอยู่ ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้ได้แก่
- ข้อควรระวังจากการเลือกใช้การเทรดแบบอัตโนมัติ จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่า indicator ในปัจจุบันได้รับการพัฒนามากขึ้น และมีบางตัวที่สามารถตั้งระบบการเทรดแบบอัตโนมัติได้ โดยระบบจะกำหนดจุดเข้าซื้อและจุดขายออก ซึ่งการตั้งค่าอัตโนมัติอาจทำให้เทรดเดอร์สามารถเสียต้นทุนยกพอร์ตได้ เพราะการวิเคราะห์โดยระบบอัตโนมัติจะไม่สามารถพิจารณาตัดสินใจซื้อหรือขายในแต่ละจังหวะได้ตรงตามความต้องการของเทรดเดอร์ได้ทั้งหมด ดังนั้น เทรดเดอร์จึงไม่ควรโยนความเสี่ยงและความรับผิดชอบไปให้กับระบบอัตโนมัติ แต่ควรใช้เครื่องมือเป็นแค่ตัวช่วยในการวิเคราะห์จะดีกว่า
- ผลการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือไม่ได้แม่นยำเสมอไป เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจก่อนว่า เครื่องมือ indicator เหล่านี้ใช้ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคและใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ไม่ได้รับรองว่าผลลัพธ์จะออกมาตรงกับที่คาดการณ์ไว้ 100% ซึ่งตรงส่วนนี้คือความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ควรต้องทำความเข้าใจ และไม่สามารถคาดหวังให้เครื่องมือเพิ่มความแม่นยำของผลลัพธ์ถึง 100% ได้
- เครื่องมือแบบเดียวกัน แต่ให้ผลการคาดคะเนต่างกัน เนื่องจากเครื่องมือแต่ละตัวที่เป็น indicator เดียวกัน จะมีคาแรกเตอร์ในการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน เพราะถูกออกแบบมาด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการวิเคราะห์หุ้นตัวเดียวกัน ที่ใช้เครื่องมือต่างกันสองชนิด อาจจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้
- ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันจากการใช้ indicator ผสมกัน เทรดเดอร์บางคนใช้งานเครื่องมือ indicator สองตัวร่วมกัน ซึ่งบางครั้งเครื่องมือทั้ง 2 ตัว ก็อาจให้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกันได้ เช่น indicator ตัวหนึ่งบอกให้รีบซื้อ ในขณะที่อีกตัวหนึ่งบอกให้รีบขาย ไม่อย่างนั้นจะขาดทุนมากกว่านี้ ซึ่งหากเทรดเดอร์ต้องเจอกับปัญหานี้ อาจต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการตัดสินใจและแก้ปัญหา
เทคนิคการลงทุนแบบเดย์ เทรดดิ้ง
ในการเทรดแบบระยะสั้น และเดย์ เทรดดิ้ง เทรดเดอร์สามารถเลือกใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อสร้างแบบเฉพาะการเทรดได้ ซึ่งเทคนิคที่เทรดเดอร์มักใช้กันได้แก่
1. เทคนิคทำกำไรทันที เมื่อหุ้นขยับขึ้น หรือที่เรียกว่า Scalping
เทคนิคนี้จะเป็นการซื้อขายหุ้นในช่วงสั้น ๆ แต่เน้นการซื้อขายบ่อย โดยจะทำกำไรเพียงไม่กี่จุด ซึ่งมักจะทำกำไรอยู่ที่ประมาณ 5-20 จุด หากเดย เทรดเดอร์ต้องการจะใช้เทคนิคนี้ ให้จำไว้ว่าต้องเข้าให้ไว แล้วรีบออกให้ไว ตัวอย่างเช่น เดย เทรดเดอร์ซื้อหุ้น XXX ที่ราคา 22 บาท และอาจจะตั้งราคาขายที่ 22.15 บาท และเมื่อหุ้นราคาหุ้นขึ้นไปถึงราคา 22.15 บาท ก็ขายทำกำไรทันที
2. เทคนิคซื้อขายตรงข้ามกับแนวโน้ม หรือเรียกว่า Fading
ซึ่งเทรดเดอร์ที่ใช้เทคนิคนี้จะขายหุ้นในขณะราคาหุ้นกำลังขึ้น และจะซื้อหุ้นตอนที่ราคากำลังลง โดยเทคนิคนี้มาจากแนวคิดที่ว่า เนื่องจากหุ้นตัวนี้มีนักลงทุนเข้าซื้อมากเกินไป และเมื่อแรงซื้อหมดไป ก็จะเกิดแรงขายขึ้นมา
3. เทคนิคซื้อขายตามแนวโน้ม หรือที่เรียกว่า เทคนิค Momentum
เทคนิคนี้จะตรงข้ามกับ Fading โดยเทรดเดอร์จะเก็งกำไรตามทิศทางหุ้น ไม่สวนทางกับแนวโน้ม เป็นการเก็งกำไรตามกระแสและทิศทางของหุ้น
4. เทคนิค cut loss/stop loss หรือกำหนดจุดตัดขาดทุน
เทคนิคนี้ไว้สกัดการขาดทุน ไม่ให้ขาดทุนเกินกว่าจุดที่ยอมรับได้ ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
วิธีที่หนึ่ง เลือกจุดหยุดขาดทุนที่ตนเองยอมรับได้มากที่สุด โดยจะต้องประเมินตัวเองดูว่าสามารถรับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้มากที่สุดไม่เกินกี่บาทหรือคิดเป็นกี่ % ของเงินต้น
วิธีที่สอง เลือกจุดหยุดขาดทุนทางเทคนิคจากตัวหุ้นนั้น ๆ ซึ่งวิธีนี้จะต้องดูข้อมูลหุ้นและกราฟหุ้นตัวนั้น ๆ ประกอบด้วย
5. สังเกตจาก bid-offer
เทคนิคนี้จะเป็นการดูแนวโน้มกำลังซื้อขายของผู้ลงทุนในตลาดที่มีต่อราคาหุ้นตัวนั้น ๆ ซึ่งปริมาณ bid-offer นี้สามารถดูรูปแบบความสัมพันธ์ของราคา และช่วยคาดการณ์แนวโน้มราคาของหุ้นตัวนั้น ๆ ได้
6. ดูปริมาณการซื้อขาย
ซึ่งเทคนิคนี้สามารถใช้ดูระดับความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นตัวนั้น ๆ ได้ รวมทั้งสามารถดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและทิศทางของหุ้นได้
7. ดูปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ
เนื่องจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะมีผลต่อ fund flow หรือกระแสเงินกับตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก ดังนั้น ถ้านักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยในปริมาณเยอะ ตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มจะขึ้นต่อได้ แต่หากปริมาณการซื้อขายลดลง แนวโน้มก็อาจจะกลับเป็นขาลง
วินัยในการลงทุนแบบเดย์ เทรดดิ้ง
การลงทุนแบบเดย์ เทรดเดอร์จำเป็นต้องมีวินัยในการลงทุน เพราะการทำกำไรเป็นรายวันจะต้องเตรียมรับกับสภาวะตลาดที่หลากหลายและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งวินัยที่เทรดเดอร์มักปฏิบัติกันจะมีอยู่ 5 ประการ คือ
- เดย์ เทรดดิ้งเป็นธุรกิจ ต้องทำอย่างจริงจัง และต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
- เดย์ เทรดเดอร์ไม่ควรถือสถานะข้ามวัน แม้ขาดทุนก็ควรขาย เพราะระยะเวลาเพียงข้ามคืน อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่วินัยข้อนี้จะยืดหยุ่นได้ตามการวางแผนของเดย์ เทรดเดอร์
- เดย์ เทรดเดอร์ต้องพยายามหาความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด และได้โอกาสในการทำกำไรมากที่สุด เพราะความสำเร็จของเดย์ เทรดดิ้งมาจากการบริหารความเสี่ยงและโอกาส
- ควรใช้ indicator เป็นเพียงแค่เครื่องมือชี้แนะ แต่ไม่ใช่เชื่อตามทั้งหมด
- ต้องไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ก็จะมีโอกาสพบกับการเสี่ยงขาดทุนได้ง่าย ๆ
สรุป
เทคนิคทั้ง 3 ประการนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ indicators ความเข้าใจในเทคนิคการเทรด และวินัยในการเทรด ต่างก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการขาดทุนให้กับเดย์ เทรดเดอร์ได้ อย่างไรก็ตาม เดย์ เทรดเดอร์ควรจะต้องสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญไว้ เพื่อให้การซื้อขายรายวันประสบความสำเร็จให้มากที่สุด